
รู้จักบริษัท ขายหุ่นยนต์ ช่วยหมอผ่าตัด ที่มีราคาแพงสุด 100 ล้าน
รู้จักบริษัท ขายหุ่นยนต์ ช่วยหมอผ่าตัด ที่มีราคาแพงสุด 100 ล้าน /โดย ลงทุนแมน
da Vinci ไม่ใช่แค่ชื่อจิตรกรชื่อดัง แต่ยังเป็นชื่อหุ่นยนต์ผู้ช่วยหมอผ่าตัด ที่มีราคาสูงสุดถึงตัวละ 100 ล้านบาท
da Vinci ไม่ใช่แค่ชื่อจิตรกรชื่อดัง แต่ยังเป็นชื่อหุ่นยนต์ผู้ช่วยหมอผ่าตัด ที่มีราคาสูงสุดถึงตัวละ 100 ล้านบาท
ซึ่งตอนนี้มีอยู่กว่า 9,000 ตัว กระจายอยู่ใน 69 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย
แล้วเจ้าของหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดกว่า 9,000 ตัว ที่กำลังพูดถึงนี้ คือใคร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลองหลับตาลง แล้วจินตนาการว่า ถ้าเรามีหมอผู้ช่วย ผ่าตัดอีกคน ที่สามารถเคลื่อนไหวได้แบบเราเลย
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฟังดูแล้วคงไม่น่าเป็นไปได้ แต่ตอนนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับหุ่นยนต์ผู้ช่วยหมอผ่าตัด “da Vinci”
da Vinci ทำงานด้วยการให้หมอควบคุมแขนกลได้อิสระ
ผ่านหน้าจอควบคุม ซึ่งแสดงให้เห็นเส้นเลือดและอวัยวะต่าง ๆ ด้วยการใช้ฟลูออเรสเซนต์
ผ่านหน้าจอควบคุม ซึ่งแสดงให้เห็นเส้นเลือดและอวัยวะต่าง ๆ ด้วยการใช้ฟลูออเรสเซนต์
พูดให้เห็นภาพคือ หมอสามารถนั่งผ่าตัดที่หน้าจอควบคุม
จากนั้นแขนกลของ da Vinci ก็จะเคลื่อนไหวตามมือของหมอ เพื่อผ่าตัดคนไข้ที่เข้ารับการรักษา ได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ รวมถึงทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้นด้วย
จากนั้นแขนกลของ da Vinci ก็จะเคลื่อนไหวตามมือของหมอ เพื่อผ่าตัดคนไข้ที่เข้ารับการรักษา ได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ รวมถึงทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้นด้วย
ปัจจุบัน ระบบหุ่นยนต์ da Vinci ก็ได้ถูกนำไปใช้ในการผ่าตัดโรคทั่วไป ไปจนถึงโรคเฉพาะทาง เช่น ทางเดินปัสสาวะ หัวใจ หรือระบบภายในของผู้หญิง
โดยบริษัทเจ้าของหุ่นยนต์ตัวนี้ คือ Intuitive Surgical ที่ก่อตั้งในปี 1995 หรือก่อตั้งมาได้แค่ 30 ปีเท่านั้น
และนอกจากระบบหุ่นยนต์ da Vinci แล้ว บริษัทนี้ยังได้ต่อยอดระบบหุ่นยนต์ตัวใหม่ที่ชื่อว่า Ion Endoluminal ที่เน้นการตรวจชิ้นเนื้อในร่างกาย เพื่อนำไปวินิจฉัยต่อด้วย
ราคาของหุ่นยนต์ da Vinci จะอยู่ที่ราว 20-100 ล้านบาท ส่วนราคาหุ่นยนต์ Ion Endoluminal อยู่ที่ราว 16-26 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับว่าต้องการใช้งานมากแค่ไหน
ถ้าดูแค่นี้ ราคาหุ่นยนต์ ก็ดูแพงพอสมควร และน่าจะขายได้ยาก แต่รู้ไหมว่า บริษัท Intuitive Surgical เจ้าของหุ่นยนต์พวกนี้ สามารถทำรายได้ในปีที่แล้วกว่า 272,000 ล้านบาท
และถ้าเราไปดูผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา จะพบว่า
ปี 2022
รายได้ 203,000 ล้านบาท
กำไร 43,000 ล้านบาท
รายได้ 203,000 ล้านบาท
กำไร 43,000 ล้านบาท
ปี 2023
รายได้ 232,000 ล้านบาท
กำไร 58,000 ล้านบาท
รายได้ 232,000 ล้านบาท
กำไร 58,000 ล้านบาท
ปี 2024
รายได้ 272,000 ล้านบาท
กำไร 75,000 ล้านบาท
รายได้ 272,000 ล้านบาท
กำไร 75,000 ล้านบาท
ดูจากตรงนี้ จะเห็นได้ว่ารายได้และกำไรของบริษัทก็เติบโตมาตลอด พร้อมทำกำไรได้ 28 บาท จากรายได้
ทุก ๆ 100 บาท ที่บริษัทสามารถทำได้
ทุก ๆ 100 บาท ที่บริษัทสามารถทำได้
ปัจจุบัน Intuitive Surgical มีมูลค่าบริษัทกว่า 6,500,000 ล้านบาท
แล้วทำไมหุ่นยนต์ ที่มีราคาแสนแพง ถึงดูเหมือนขายได้ต่อเนื่องมาโดยตลอด ?
จริง ๆ ก็ต้องบอกว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่อง แม้ราคาหุ่นยนต์จะดูแพงแค่ไหนก็ตาม มาจากโมเดลธุรกิจที่ให้ลูกค้าจ่ายเงินอย่างต่อเนื่อง
ระบบหุ่นยนต์ของบริษัท ไม่ได้บังคับให้ลูกค้าต้องจ่ายเงินซื้อขาดไปเลยทีเดียว แต่ลูกค้าสามารถเลือกเช่าระบบหุ่นยนต์นี้ได้ ภายในระยะเวลาสัญญาที่เซ็นกันไว้
โดยสามารถเลือกได้ว่า จะจ่ายค่าเช่าเป็นก้อนเดียวไปเลย หรือเลือกจ่ายค่าเช่าตามการใช้งานก็ได้ แต่ไม่ว่าเลือกแบบไหน ก็จะมีค่าบริการดูแลเพิ่มเติมที่ลูกค้าต้องจ่ายเป็นรายปี
แต่ยังไม่หมดแค่เท่านี้ เพราะเมื่อระบบหุ่นยนต์ใช้ไปนาน ๆ ก็ต้องมีการเปลี่ยนอุปกรณ์ผ่าตัดต่าง ๆ ทำให้บริษัทขายอุปกรณ์ตรงนี้เพิ่มเติมได้ในช่วงตลอดสัญญา
พอโมเดลธุรกิจที่ให้ลูกค้าจ่ายเงินซื้อซ้ำได้เรื่อย ๆ ก็เหมือนการที่บริษัทมีรายได้เข้ามาต่อเนื่อง แถมลูกค้าเองก็สามารถยืดหยุ่นในการควบคุมค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย
และโมเดลธุรกิจแบบนี้ ก็ได้สะท้อนไปยังโครงสร้างรายได้ของ Intuitive Surgical เจ้าของหุ่นยนต์ราคาแพงนี้ในช่วงที่ผ่านมา
- รายได้จากเครื่องมือและอุปกรณ์ 61%
- รายได้จากระบบ 24%
- รายได้จากบริการ 15%
- รายได้จากระบบ 24%
- รายได้จากบริการ 15%
โดยปัจจุบัน ระบบหุ่นยนต์ da Vinci เกินครึ่งอยู่ภายใต้ระบบสัญญาเช่า กระจายอยู่เป็นส่วนหนึ่งของหุ่นยนต์ 9,000 ตัวทั่วโลกที่ใช้ระบบนี้กันในตอนนี้
หนึ่งในนั้นก็มีอยู่ที่ประเทศไทย เช่น กลุ่มโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ หรือ BH และกลุ่ม BDMS เจ้าของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งมีการใช้บริการเจ้าหุ่นยนต์ตัวนี้ด้วย
ถึงตรงนี้ ก็คงเห็นภาพแล้วว่า แม้บริษัทจะขายหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดแพงมากสุดถึง 100 ล้านบาท แต่ด้วยโมเดลธุรกิจแบบปล่อยเช่า ทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงหุ่นยนต์ได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น และช่วยให้บริษัทมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
และที่น่าสนใจคือ บริษัทเจ้าของหุ่นยนต์นี้ ทำให้เราเห็นภาพมากขึ้นว่า คนกับหุ่นยนต์ สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไรบ้างในโลกความเป็นจริง
ซึ่งเมื่อก่อนเราอาจเห็นภาพหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดในภาพยนตร์หรือซีรีส์ต่าง ๆ เท่านั้น แต่วันนี้ มันเกิดขึ้นจริงแล้วกับหุ่นยนต์ที่ชื่อว่า da Vinci..
Reference
- Financial Results Intuitive Surgical 2024
- Financial Results Intuitive Surgical 2024
—----------------------
Intuitive Surgical อยู่ใน MEGA10HEALTH
Intuitive Surgical อยู่ใน MEGA10HEALTH
MEGA10HEALTH ร่วมเป็นเจ้าของ 10 หุ้น HEALTHCARE
-MEGA10HEALTH หมายถึง กองทุน MEGA10 HEALTHCARE ชนิดสะสมมูลค่า (MEGA10HEALTH-A) และกองทุน MEGA10 HEALTHCARE เพื่อการเลี้ยงชีพ (MEGA10HEALTHRMF)
-MEGA10HEALTH หมายถึง กองทุน MEGA10 HEALTHCARE ชนิดสะสมมูลค่า (MEGA10HEALTH-A) และกองทุน MEGA10 HEALTHCARE เพื่อการเลี้ยงชีพ (MEGA10HEALTHRMF)
โดยมีนโยบายการลงทุนแบบ Rule Base Approach ลงทุนในตราสารทุน และ /หรือใบรับฝากหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (American Depositary Receipt (ADR)) ของบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange: NYSE) หรือ ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq Stock Market: NASDAQ) หรือตลาดอื่นใดในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับสุขภาพ และเป็นหลักทรัพย์ที่ถูกจัดกลุ่มอยู่ในหมวดอุตสาหกรรม Healthcare (Healthcare Sector)โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนในรูปของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) และไม่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยคัดเลือกหลักทรีพย์ที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมย่อย 5 กลุ่ม ได้แก่
-เทคโนโลยีการดูแลสุขภาพ (Healthcare Technology)
-เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
-เภสัชกรรม (Pharmaceuticals)
-เครื่องมือและบริการด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Life Sciences Tools & Services)
-อุปกรณ์ดูแลสุขภาพ (Health Care Equipment)
-เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
-เภสัชกรรม (Pharmaceuticals)
-เครื่องมือและบริการด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Life Sciences Tools & Services)
-อุปกรณ์ดูแลสุขภาพ (Health Care Equipment)
โดยผู้จัดการกองทุนจะพิจารณาเลือกลงทุนในตราสารทุนของบริษัทข้างต้นจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ขนาดใหญ่ และมีสภาพคล่องจำนวน 10 บริษัท เช่น
-Eli Lilly บริษัทผู้ถือครองส่วนแบ่งการตลาดส่วนใหญ่กลุ่มยาเบาหวาน และลดน้ำหนัก
-Merck & Co บริษัทผู้ถือครองส่วนแบ่งการตลาดส่วนใหญ่กลุ่มยาภูมิคุ้มกันบำบัดสำหรับมะเร็ง
-AstraZeneca ยาโรคหัวใจล้มเหลว และการลงทุนด้าน Cell & Gene Therapy
-Abbott Laboratories ผู้ผลิตอุปกรณ์ตรวจน้ำตาลในเลือดแบบไม่ต้องเจาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
-Intuitive Surgical ผู้ผลิตตลาดหุ่นยนต์ผ่าตัดรายใหญ่
(อ้างอิง : เว็บไซต์ทางการของแต่ละบริษัท และ Yahoo Finance)
-Merck & Co บริษัทผู้ถือครองส่วนแบ่งการตลาดส่วนใหญ่กลุ่มยาภูมิคุ้มกันบำบัดสำหรับมะเร็ง
-AstraZeneca ยาโรคหัวใจล้มเหลว และการลงทุนด้าน Cell & Gene Therapy
-Abbott Laboratories ผู้ผลิตอุปกรณ์ตรวจน้ำตาลในเลือดแบบไม่ต้องเจาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
-Intuitive Surgical ผู้ผลิตตลาดหุ่นยนต์ผ่าตัดรายใหญ่
(อ้างอิง : เว็บไซต์ทางการของแต่ละบริษัท และ Yahoo Finance)
*บริษัทดังกล่าวสามารถปรับเปลี่ยนได้ ตามเกณฑ์การลงทุนและสภาวะการลงทุน ณ ขณะนั้น
กองทุนมีการลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และอาจมีการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม Healthcare จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถศึกษารายละเอียดและเริ่มต้นลงทุนได้ที่ บลจ.ทาลิส 02-0150215, 02-0150216, 02-0150222 หรือ www.talisam.co.th และผู้สนับสนุนการขายหลายราย
คำเตือน: การลงทุนในกองทุนรวมตราสารแห่งทุนอาจมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะ เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษีของกรมสรรพากร ผู้ถือหน่วยลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และจะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เคยได้รับภายในกำหนดเวลา นอกจากนี้อาจต้องชำระเงินเพิ่ม และ/หรือเบี้ยปรับตามประมวลรัษฎากร
ผลการดำเนินงานในอดีต/ ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต