
สรุปวิกฤติ KTC เศรษฐีหุ้นไทย 10,000 ล้านบาท เจอระเบิด ฟอร์ซเซล
สรุปวิกฤติ KTC เศรษฐีหุ้นไทย 10,000 ล้านบาท เจอระเบิด ฟอร์ซเซล /โดย ลงทุนแมน
เรื่องนี้เป็น “เรื่องใหญ่สุด” ของวงการตลาดทุนในตอนนี้
ถ้าเรามีทรัพย์สินมูลค่า 10,000 ล้านบาท
เราจะรู้สึกอย่างไร หากมีคนมาบังคับให้เราขายทรัพย์สินนั้น ในราคา 8,000 ล้านบาท
และหากไม่มีใครเอาเงินมาซื้อ ก็จะถูกบังคับให้ขายในราคา 6,000 ล้านบาท
เรื่องนี้เป็น “เรื่องใหญ่สุด” ของวงการตลาดทุนในตอนนี้
ถ้าเรามีทรัพย์สินมูลค่า 10,000 ล้านบาท
เราจะรู้สึกอย่างไร หากมีคนมาบังคับให้เราขายทรัพย์สินนั้น ในราคา 8,000 ล้านบาท
และหากไม่มีใครเอาเงินมาซื้อ ก็จะถูกบังคับให้ขายในราคา 6,000 ล้านบาท
ถ้าไม่มีใครมาซื้อในวันต่อมา ก็จะถูกบังคับขายในราคาที่ลดลงเรื่อย ๆ
4,000 ล้านบาท
2,000 ล้านบาท
1,000 ล้านบาท
4,000 ล้านบาท
2,000 ล้านบาท
1,000 ล้านบาท
ทุกคนคงคิดว่าใครจะยอมให้ถูกทำแบบนี้
แต่เรื่องราวทำนองนี้มันกำลังเกิดขึ้นจริงกับ
หุ้นใหญ่ที่เคยมีมูลค่าบริษัทหลักแสนล้านบาทชื่อ KTC
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกิจการของ KTC ใด ๆ
แต่เกิดเพราะนักลงทุนที่เจอบังคับขายหุ้น
แต่เรื่องราวทำนองนี้มันกำลังเกิดขึ้นจริงกับ
หุ้นใหญ่ที่เคยมีมูลค่าบริษัทหลักแสนล้านบาทชื่อ KTC
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกิจการของ KTC ใด ๆ
แต่เกิดเพราะนักลงทุนที่เจอบังคับขายหุ้น
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
KTC เป็นหุ้นที่ใหญ่ติด 100 บริษัทแรกของไทย หรือเรียกกันว่า SET100
หุ้นนี้เคยเป็นหุ้นยอดฮิตของนักงทุน VI หลายคน
บริษัทมีรายได้จากสินเชื่อบัตรเครดิต KTC
บริษัทมีรายได้จากสินเชื่อบัตรเครดิต KTC
ตามข้อมูลวันที่ 18 เมษายน 2568
บริษัท KTC มีผู้ถือหุ้นใหญ่สุดคือ ธนาคารกรุงไทย ถืออยู่ 49.29%
บริษัท KTC มีผู้ถือหุ้นใหญ่สุดคือ ธนาคารกรุงไทย ถืออยู่ 49.29%
ที่น่าสนใจคือ บริษัทนี้มีนักลงทุนรายใหญ่ท่านหนึ่งถือครองหุ้น KTC มากถึง 12.7% หรือ 327 ล้านหุ้น
เรียกได้ว่าถ้าคูณตัวเลขราคาหุ้นก่อนที่จะเกิดวิกฤติ จะได้มูลค่าเป็นหลักหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว
ถ้าไล่เรียงเวลาย้อนหลัง จะพบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา KTC เคยมีช่วงที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นหลายเท่า
และนักลงทุนท่านนี้ได้ลงทุน KTC ไว้ก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้น และได้กำไรเป็นจำนวนมาก จนมีมูลค่าทรัพย์สินติดอันดับต้น ๆ ในเศรษฐีหุ้นไทย
เรื่องราวความสำเร็จเป็นตำนานที่เล่าขานกันในกลุ่มนักลงทุนไทย
และเป็นตัวอย่างที่ใฝ่ฝันของคนรุ่นใหม่ว่ารวยด้วยตัวเองเป็นหมื่นล้าน ก็ทำได้จริงในตลาดหุ้นไทย
และเป็นตัวอย่างที่ใฝ่ฝันของคนรุ่นใหม่ว่ารวยด้วยตัวเองเป็นหมื่นล้าน ก็ทำได้จริงในตลาดหุ้นไทย
แต่แล้ว เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
ในเช้าวันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน 2568
น่าจะเป็นเช้าที่ไม่มีวันลืมของผู้ถือหุ้น KTC ทุกคน โดยเฉพาะนักลงทุนท่านนี้
ในเช้าวันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน 2568
น่าจะเป็นเช้าที่ไม่มีวันลืมของผู้ถือหุ้น KTC ทุกคน โดยเฉพาะนักลงทุนท่านนี้
ในวันก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกาศปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor เพื่อรองรับความผันผวนของตลาดจากสงคราม อิหร่าน - อิสราเอล จากเดิมที่ให้ราคาบวกลบสูงสุด 30% ให้กลายเป็น 15%
เช้าวันที่เกิดเหตุการณ์หุ้น KTC ร่วงลงแตะ Floor ที่ -15%
ทุกคนงงว่าเกิดอะไรขึ้น
เพราะในวันนั้นตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้ปรับตัวลงแรงมาก ไม่ได้กลัวสงครามอะไรเท่าไร
ทุกคนงงว่าเกิดอะไรขึ้น
เพราะในวันนั้นตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้ปรับตัวลงแรงมาก ไม่ได้กลัวสงครามอะไรเท่าไร
แต่หุ้น KTC กับหุ้นอีกกลุ่มหนึ่ง เช่น BEC, XPG, TPS ร่วงติด Floor โดยไม่สนใจใคร
โดยมีความเชื่อมโยงก็คือ หุ้นทั้ง 4 ตัวนี้มีผู้ถือหุ้นคนเดียวกัน
ทำให้คาดเดาได้ทันทีว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากการถูกบังคับขายหุ้นทุกราคา (ฟอร์ซเซล) เพราะการใช้บัญชีมาร์จินกู้เงินมาลงทุน
ทำให้คาดเดาได้ทันทีว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากการถูกบังคับขายหุ้นทุกราคา (ฟอร์ซเซล) เพราะการใช้บัญชีมาร์จินกู้เงินมาลงทุน
ซึ่งการกู้เงินมาซื้อหุ้นนี่แหละ คือต้นเหตุของระเบิดฟอร์ซเซลลูกนี้
เรามาทำความเข้าใจแบบง่าย ๆ กันว่าทำไมการกู้เงินมาลงทุนถึงถูกบังคับขายได้
หุ้นเกรดดีอย่าง KTC โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะอนุญาตให้กู้เงินมากถึงเท่าตัวในการลงทุนในบัญชีมาร์จิน
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราจ่ายเงินซื้อหุ้น KTC 5,000 บาท โบรกเกอร์จะให้กู้ได้สูงสุดอีก 5,000 บาท เพื่อซื้อหุ้น KTC รวมกันได้มูลค่า 10,000 บาท
แต่โบรกเกอร์ก็ปิดความเสี่ยงด้วยการกำหนดว่าถ้าหุ้น KTC ตกลงมา จนน้อยกว่าที่กำหนด แล้วเราไม่มีเงินมาเติม เราก็จะถูกบังคับขายทุกราคา
และสำหรับนักลงทุนท่านนี้เขาไม่ได้กู้เงินเพื่อซื้อเพียงหลักหมื่นบาท แต่เป็นหลัก “หมื่นล้านบาท” มันจึงกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่มากเมื่อราคาหุ้นร่วงลงแรง
ยกตัวอย่างการตกลงของราคา KTC ที่มูลค่า 10,000 ล้านบาท
(เป็นการเปรียบเทียบ ไม่ใช่ตัวเลขจริง)
(เป็นการเปรียบเทียบ ไม่ใช่ตัวเลขจริง)
ถ้ากู้เงินแบบ 1:1
มูลค่า KTC 10,000 ล้านบาท เป็นส่วนของเงินกู้ 5,000 ล้านบาท เงินของนักลงทุน 5,000 ล้านบาท
ถ้าราคาหุ้นร่วงลงจนทำให้ KTC มีมูลค่าเหลือ 8,000 ล้านบาท เงินกู้จะอยู่คงเดิม 5,000 ล้านบาท เงินของนักลงทุนจะเหลือ 3,000 ล้านบาท
คำถามก็คือ แล้วเมื่อไหร่จะถูกบังคับขายทุกราคา ?
โดยส่วนใหญ่แล้วโบรกเกอร์ไทยกำหนดว่าถ้าเงินของนักลงทุนเหลือไม่ถึง 25% ของมูลค่าหุ้นจะถูกบังคับขายทุกราคา
โดยส่วนใหญ่แล้วโบรกเกอร์ไทยกำหนดว่าถ้าเงินของนักลงทุนเหลือไม่ถึง 25% ของมูลค่าหุ้นจะถูกบังคับขายทุกราคา
อย่างในกรณีนี้
ถ้ามูลค่า KTC 6,650 ล้านบาท เงินกู้จะอยู่คงเดิม 5,000 ล้านบาท เงินของนักลงทุนจะเหลือ 1,650 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณ 24.8% จะถูกบังคับขายทุกราคา
ถ้ามูลค่า KTC 6,650 ล้านบาท เงินกู้จะอยู่คงเดิม 5,000 ล้านบาท เงินของนักลงทุนจะเหลือ 1,650 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณ 24.8% จะถูกบังคับขายทุกราคา
สังเกตว่าในกรณีนี้หุ้น KTC ร่วงลง 33.5% ก็จะถูกบังคับขายทุกราคาแล้ว
และเงินของนักลงทุนจาก 5,000 ล้านบาท ก็จะเหลือเพียง 1,650 ล้านบาท หรือคิดเป็นการขาดทุนมากถึง 67%
และเงินของนักลงทุนจาก 5,000 ล้านบาท ก็จะเหลือเพียง 1,650 ล้านบาท หรือคิดเป็นการขาดทุนมากถึง 67%
แต่เรื่องไม่จบเพียงแค่นี้
ถ้านักลงทุนมีหุ้นจำนวนน้อยก็ไม่เป็นไร ก็คงจะขายในตลาดที่มีคนรับซื้อ
ถ้านักลงทุนมีหุ้นจำนวนน้อยก็ไม่เป็นไร ก็คงจะขายในตลาดที่มีคนรับซื้อ
แต่ถ้าเงินมันเป็นจำนวนมากหลักพันล้านบาท
ทุกคนในตลาดก็คงตกใจ เหมือนกรณี KTC ที่มีคนเสนอขายที่ Floor 200 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 25 บาท ก็แปลว่าต้องใช้เงินมากถึง 5,000 ล้านบาทมารับซื้อเลยทีเดียว
ทุกคนในตลาดก็คงตกใจ เหมือนกรณี KTC ที่มีคนเสนอขายที่ Floor 200 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 25 บาท ก็แปลว่าต้องใช้เงินมากถึง 5,000 ล้านบาทมารับซื้อเลยทีเดียว
ถ้าไม่มีคนมารับซื้อ
ในวันถัดมา โบรกเกอร์ก็จะขายที่ราคาหุ้นติด Floor ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีนักลงทุนรายใหญ่มาเริ่มรับซื้อ
ในวันถัดมา โบรกเกอร์ก็จะขายที่ราคาหุ้นติด Floor ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีนักลงทุนรายใหญ่มาเริ่มรับซื้อ
และนี่ก็คือเรื่องราวของ KTC ที่เป็นกรณีศึกษาให้เราได้เรียนรู้ว่า
การกู้เงินมาลงทุนในหุ้นนี้อันตรายมาก เหมือนระเบิดเวลาในวันที่หุ้นลง
การกู้เงินมาลงทุนในหุ้นนี้อันตรายมาก เหมือนระเบิดเวลาในวันที่หุ้นลง
หากเราหลีกเลี่ยงได้ก็ควรทำ เพราะการค่อย ๆ รวยขึ้น ก็ยังจะดีกว่ารวยแบบรวดเร็ว แล้วสุดท้ายมาเจอระเบิดทำให้มูลค่าทรัพย์สินหายไปในพริบตา
อย่างในกรณีนี้ หากหุ้น KTC ยังร่วงลงต่อ แล้วไม่มีใครมารับซื้อ
เงินของนักลงทุนจาก 5,000 ล้านบาท มีโอกาสที่จะกลายเป็น 0 บาทได้
และในกรณีเลวร้ายที่สุด ที่หลายคนอาจคิดไม่ถึงก็คือ
มันอาจถึงขั้นเป็นหนี้โบรกเกอร์หลัก 1,000 ล้านบาทได้เช่นกัน..
และในกรณีเลวร้ายที่สุด ที่หลายคนอาจคิดไม่ถึงก็คือ
มันอาจถึงขั้นเป็นหนี้โบรกเกอร์หลัก 1,000 ล้านบาทได้เช่นกัน..