
Warren Buffett เคยท้าแข่งลงทุน เพื่อพิสูจน์ว่าการลงทุน ไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก
Warren Buffett เคยท้าแข่งลงทุน เพื่อพิสูจน์ว่าการลงทุน ไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก /โดย ลงทุนแมน
เมื่อไม่นานมานี้คุณ Ken Griffin ผู้ก่อตั้ง Citadel กองทุนเฮดจ์ฟันด์ ที่บริหารทรัพย์สินมูลค่า 2.42 ล้านล้านบาท ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง Bloomberg ว่านักลงทุนมือใหม่ ไม่สามารถเอาชนะนักลงทุนมืออาชีพได้
เพราะนักลงทุนมืออาชีพเหล่านั้นมีทั้งทีมวิเคราะห์เฉพาะทาง เครื่องมือระดับสูง และใช้เวลาหลายปีในการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะที่จำเป็น
และแนะนำมือใหม่ว่า ควรฝากพอร์ตไว้กับมืออาชีพ คนที่มีเวลาศึกษา ดูแล และวิเคราะห์มันทุกวัน และการรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร เป็นก้าวแรกของความสำเร็จ
แต่รู้หรือไม่ ? ในปี 2007 คุณ Warren Buffett เคยออกมาท้าเดิมพันกับผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์มืออาชีพ
ว่ากองทุนดัชนี S&P 500 ที่ค่าธรรมเนียมต่ำ ๆ จะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่ากองทุนเฮดจ์ฟันด์ชั้นนำทั้งหลาย หากวัดในระยะเวลา 10 ปี
เรื่องราวนี้น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
สำหรับคนที่มารับคำท้าของคุณ Buffett ก็คือคุณ Ted Seides ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์จาก Protege Partners ซึ่งเขาได้คัดเลือกกองทุนมา จำนวน 5 กอง เพื่อสู้ในการเดิมพันนี้
โดยที่กองทุนทั้งหมดที่เขาเลือก เป็นกองทุนแบบ Fund of Funds หรือกองทุนที่ลงทุนในกองทุนอื่น ๆ แทนที่จะลงทุนในหลักทรัพย์โดยตรง
ส่วนช่วงเวลาของการเดิมพัน เริ่มต้นวันที่ 1 มกราคม 2008 ซึ่งตรงกับช่วงวิกฤติการณ์ทางการเงินโลก Subprime พอดี
ในช่วงแรกของการเดิมพัน เหมือนกองทุนเฮดจ์ฟันด์จะได้เปรียบ เพราะแม้จะขาดทุนไป 23.9% แต่ก็ยังดีกว่าดัชนี S&P 500 ที่ร่วงลงหนักถึง 37% ในปีแรก เรียกได้ว่าเจ็บน้อยกว่าท่ามกลางวิกฤติตลาดโลก
แต่เมื่อเวลาผ่านไปและตลาดเริ่มฟื้นตัว กองทุนอิงดัชนีของคุณ Buffett ก็เริ่มนำหน้า
จนถึงสิ้นปี 2016 กองทุนที่เป็นตัวเลือกของคุณ Buffett อย่างกองทุน Vanguard 500 Index Fund Admiral Shares ซึ่งเป็นกองทุนที่ไม่มีผู้จัดการกองทุน เป็นเพียงกองทุนที่ลงทุนในหุ้น 500 ตัว ตามดัชนี S&P 500
กลับทำผลตอบแทนตลอด 9 ปี เฉลี่ย 7.1% ต่อปี ในขณะที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ทำได้เพียงเฉลี่ย 2.2% ต่อปี ซึ่งต่างกันอย่างมาก
เปรียบเทียบให้เห็นภาพ คือ หากเราลงทุนตามคุณ Buffett ด้วยเงิน 100,000 บาท สุดท้ายเงินก้อนนั้น จะเติบโตเป็นประมาณ 185,000 บาท ขณะที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์จะอยู่ที่ประมาณ 121,000 บาทเท่านั้น
สาเหตุที่ทำให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์ ทำผลตอบแทนได้น้อยกว่า คือค่าธรรมเนียม โดยกองทุนเฮดจ์ฟันด์มักใช้โมเดล 2/20 คือเก็บค่าบริหาร 2% ซึ่งเก็บทุกปีไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน และเรียกเก็บเพิ่มอีก 20% ของกำไรที่ทำได้ในปีนั้น ๆ
ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป ค่าธรรมเนียมเหล่านี้ก็สะสมเป็นจำนวนมาก
จากงานวิจัยล่าสุดของ LCH Investments พบว่านักลงทุนในกองทุนเฮดจ์ฟันด์ตั้งแต่ปี 1969 ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเกือบครึ่งหนึ่งของกำไรที่ได้รับ..
เรื่องนี้ได้ให้แนวคิดที่ว่า บางครั้งการลงทุนก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องยากซับซ้อน เพียงแค่เข้าใจเรื่องพื้นฐานของการลงทุนว่ากำลังลงทุนอะไร มีต้นทุน หรือปัจจัยความเสี่ยงอะไรบ้าง และอยู่ในตลาดที่เหมาะสม มีโอกาสเติบโตหรือไม่
ซึ่งนักลงทุนรายย่อย ก็สามารถประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกัน แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องมีสติ และรู้ขีดจำกัดของตัวเอง และต้องกระจายความเสี่ยง
ดังนั้นถ้าเรารู้ตัวว่าเราไม่มีความสามารถ หรือไม่มีเวลาหาความรู้ และติดตามหุ้นมากพอ
ทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ อาจเป็นการเลือกลงทุนในกองทุนรวม ค่าธรรมเนียมต่ำ เพื่อเก็บเกี่ยวโอกาสจากตลาดหุ้นก็เป็นได้..