สรุปกำไรประเภทต่าง ๆ แบบเข้าใจง่าย ผ่านงบการเงิน After You

สรุปกำไรประเภทต่าง ๆ แบบเข้าใจง่าย ผ่านงบการเงิน After You

สรุปกำไรประเภทต่าง ๆ แบบเข้าใจง่าย ผ่านงบการเงิน After You /โดย ลงทุนแมน
“กำไร.. คือเจ้ามือที่แท้จริง” เชื่อว่านักลงทุนหลายคน คงเคยได้ยินประโยคนี้
เพราะในระยะยาว “กำไร” มักเป็นเครื่องชี้วัดศักยภาพของบริษัท และมักเป็นตัวแปรที่ส่งผลต่อมูลค่าบริษัท และราคาหุ้น
ในบทความนี้ ลงทุนแมนจะพาไปรู้จักกับกำไรประเภทต่าง ๆ ผ่านงบการเงินจริง
โดยเราจะใช้งบการเงินไตรมาส 1 ปี 2568 ของบริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU เจ้าของร้านขนมหวาน After You มาใช้ช่วยอธิบายความหมายของกำไรต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจง่าย และเห็นภาพได้ชัดเจน
ก่อนอื่น เราไปดูรายได้ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่อยู่ในงบกำไรขาดทุนกันก่อน
รายได้
- รายได้จากการขาย 421 ล้านบาท
- รายได้อื่น 4 ล้านบาท
ค่าใช้จ่าย
- ต้นทุนขาย 153 ล้านบาท
- ค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่าย 113 ล้านบาท
- ค่าใช้จ่ายในการบริหาร 74 ล้านบาท
- ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสุทธิ (ดอกเบี้ยจ่าย หักดอกเบี้ยรับ) 1.5 ล้านบาท
- ค่าใช้จ่ายภาษี 18 ล้านบาท
โดยในงวดเดียวกันนี้ AU มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) ซึ่งเป็นเงินสดที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจหลักของบริษัท อยู่ที่ 56 ล้านบาท
มีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการซื้อสินทรัพย์ถาวร และทยอยหักออกเป็นรายปีตามอายุสินทรัพย์ อยู่ที่ 46 ล้านบาท
เมื่อรู้รายการทางบัญชีต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในการคำนวณกำไรแล้ว เรามาเริ่มกันที่กำไรตัวแรกกันเลย..
1. กำไรขั้นต้น (Gross Profit)
คือส่วนต่างระหว่างยอดขายสินค้าและบริการ กับต้นทุนสินค้าและบริการ (COGS) ที่มาจากธุรกิจหลักของบริษัท
กำไรขั้นต้น = รายได้จากการขาย/ให้บริการ - ต้นทุนขาย/ต้นทุนบริการ
ซึ่งปกติแล้ว ตัวเลขกำไรขั้นต้นเพียงอย่างเดียว มักบอกอะไรไม่ได้มาก
สิ่งที่ใช้วิเคราะห์ได้มากกว่า จึงเป็นการต่อยอดเพื่อหาค่า “อัตรากำไรขั้นต้น”
อัตรากำไรขั้นต้น = (รายได้จากการขาย - ต้นทุนขาย) * 100% / รายได้จากการขาย
โดยอัตรากำไรขั้นต้น จะเป็นตัวชี้วัดถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนการผลิตสินค้าหรือให้บริการ ของธุรกิจ
และความสามารถในการตั้งราคา (Pricing Power) ของธุรกิจ รวมถึงความสามารถในการต่อรองกับคู่ค้าที่ขายสินค้าให้แก่บริษัท (Supplier)
ซึ่งในกรณีของ AU นั้น กำไรขั้นต้นก็จะเท่ากับ
รายได้จากการขาย 421 ล้านบาท
ลบด้วยต้นทุนขาย 153 ล้านบาท
จะได้กำไรขั้นต้นเท่ากับ 268 ล้านบาท
คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ 63.7%
หรือก็คือ ทุก ๆ รายได้ 100 บาทของ AU จะกลายเป็นกำไรขั้นต้นที่ได้ 63.7 บาทนั่นเอง
2. กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit)
คือการนำเอา กำไรขั้นต้นที่เกิดขึ้น มาหักค่าต้นทุนต่าง ๆ ที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจหลักของบริษัท เช่น ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A), ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนา (R&D)
กำไรจากการดำเนินงาน = กำไรขั้นต้น - ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร - ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนา
ซึ่งในกรณีของ AU นั้น กำไรจากการดำเนินงานก็คือ
กำไรขั้นต้น 268 ล้านบาท
ลบด้วยค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่าย 113 ล้านบาท
และลบด้วยค่าใช้จ่ายในการบริหาร 74 ล้านบาท
กำไรจากการดำเนินงาน ก็จะเท่ากับ 81 ล้านบาท
และเราก็สามารถหา อัตรากำไรจากการดำเนินงาน ด้วยการเอาไปหารรายได้จากการขายที่ 421 ล้านบาท ก็จะได้เท่ากับ 19.2%
หรือสรุปได้ว่า ทุก ๆ รายได้ 100 บาทของ AU กลายเป็นกำไรจากการดำเนินงานได้ 19.2 บาท
อัตรากำไรจากการดำเนินงาน มักใช้ดูความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานหลักของธุรกิจ
และชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ
3. กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี (EBIT)
คือกำไรที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและภาษี
โดยนำรายได้ทั้งจากธุรกิจหลัก รวมกับรายได้อื่น ๆ มาหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยและภาษี
ซึ่งในกรณีของ AU นั้น กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี ก็จะเท่ากับ
รายได้รวม 425 ล้านบาท (รายได้จากการขาย 421 ล้านบาท + รายได้อื่น 4 ล้านบาท)
ลบด้วยต้นทุนขาย 153 ล้านบาท
ลบด้วยค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่าย 113 ล้านบาท
ลบด้วยค่าใช้จ่ายในการบริหาร 74 ล้านบาท
กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี จะได้เท่ากับ 85 ล้านบาท
จะเห็นว่า หากไม่มีรายได้อื่น ๆ EBIT ก็จะมีค่าเท่ากับ Operating Profit นั่นเอง
4. กำไรสุทธิ (Net Profit) คือผลกำไรที่แท้จริงของบริษัทหลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างออกไปแล้ว ซึ่งมักเรียกกันว่า “บรรทัดสุดท้าย (Bottom Line)” เพราะจะอยู่บรรทัดล่างสุด ของงบกำไรขาดทุน
โดยกำไรสุทธิ จะมาจากการนำรายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทั้งจากธุรกิจหลักและรายได้อื่น ๆ มาหักด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายภาษี
ซึ่งในกรณีของ AU นั้น กำไรสุทธิ ก็จะเท่ากับ
รายได้รวม 425 ล้านบาท
ลบด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งเท่ากับ 359.5 ล้านบาท
กำไรสุทธิ ก็จะเท่ากับ 65.5 ล้านบาทนั่นเอง
และก็เช่นเดิม เราสามารถหาอัตรากำไรสุทธิ ซึ่งเป็นอัตราที่สะท้อน “กำไรจริง” ที่บริษัทเหลืออยู่ ได้จากสูตร กำไรสุทธิ * 100% / รายได้รวม = 15.4%
หรือก็คือ ทุกรายได้รวม 100 บาท ที่ AU ทำได้ จะตกเป็นกำไรสุทธิเข้ากระเป๋าบริษัท 15.4 บาท
5. กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA)
คือกำไรที่ใช้วิเคราะห์การดำเนินธุรกิจ โดยนำค่าใช้จ่ายส่วนที่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินสด บวกกลับเข้ามารวมกับ กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี (EBIT)
โดยค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายนั้น เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการซื้อสินทรัพย์ถาวร เช่น อาคารสำนักงาน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือเครื่องชงกาแฟ
ซึ่งในทางบัญชีจะนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้มาหักลดเป็นรายปีที่ใช้งานสินทรัพย์นั้น โดยอยู่ในส่วนของต้นทุนขาย (COGS) หรือ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A)
ในกรณีของ AU นั้น EBITDA จะมีค่าเท่ากับ
กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) ที่ 85 ล้านบาท + ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ที่ 46 ล้านบาท = 131 ล้านบาท
และ EBITDA ที่นำไปหารกับรายได้รวม ก็จะได้ค่า EBITDA Margin (ในกรณีของ AU คือได้ 30.8%) ที่ใช้เพื่อประเมินความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ โดยไม่รวมต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับเงินสด
เสมือนการวัดศักยภาพการทำกำไรจากการดำเนินงานในรูปเงินสด หรือประสิทธิภาพในการดำเนินงานของธุรกิจ
มาถึงตรงนี้ เราก็น่าจะพอเข้าใจความหมายและวิธีการคำนวณกำไรต่าง ๆ กันพอสมควรแล้ว ซึ่งกำไรทั้ง 5 ประเภท
- กำไรขั้นต้น (Gross Profit)
- กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit)
- กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี (EBIT)
- กำไรสุทธิ (Net Profit)
- กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA)
มักเป็นกำไรที่เราพบเจอในบทวิเคราะห์ หรือข่าวการเงินต่าง ๆ อยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางคน ก็อาจมีการคิดค้นวิธีคิดกำไรแบบใหม่ ๆ ขึ้นมาเอง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ธุรกิจ ที่ตอบโจทย์บางบริบทมากขึ้น
อย่างเช่น Warren Buffett ที่คิดค้น กำไรมองทะลุ (Look-Through Earnings) และกำไรของเจ้าของ (Owner Earnings) เพราะมองว่ากำไรแบบต่าง ๆ ที่นิยมใช้กันอยู่นั้น ไม่ได้สะท้อนผลตอบแทนที่แท้จริงของธุรกิจ..

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon