
สรุป 5 ประเด็นสำคัญ ที่คนต้องการสร้างพอร์ต “กินปันผล” ระยะยาว ควรรู้
สรุป 5 ประเด็นสำคัญ ที่คนต้องการสร้างพอร์ต “กินปันผล” ระยะยาว ควรรู้ /โดย ลงทุนแมน
1. จุดเริ่มต้นของเงินปันผลคือ ผลประกอบการบริษัท
เงินปันผลคือ ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวม โดยเป็นการนำ “ส่วนหนึ่งของกำไร” มาแบ่งจ่ายให้แก่นักลงทุน
สำหรับการลงทุนในหุ้น บริษัทจะจ่ายปันผลมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับผลประกอบการในแต่ละปี และนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทนั้น ๆ
ดังนั้นการลงทุนในหุ้นเพื่อหวังปันผล จึงจำเป็นต้องคอยติดตามผลประกอบการของบริษัทด้วย
ถ้ารายได้-กำไร-กระแสเงินสด เติบโต ก็มีโอกาสที่บริษัทจะจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น
ถ้ารายได้-กำไร-กระแสเงินสด เติบโต ก็มีโอกาสที่บริษัทจะจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น
2. วิธีซื้อหุ้นเพื่อให้ได้ปันผล
จำง่าย ๆ สั้น ๆ คือ
- ซื้อหุ้นก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XD
- หากต้องการขาย ให้ขายหลังวันที่ XD แล้ว
- หากต้องการขาย ให้ขายหลังวันที่ XD แล้ว
ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์จริง
วัน XD ของหุ้น Apple คือวันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม 2025
หากต้องการปันผลงวดล่าสุด เราจะซื้อหุ้นได้ช้าสุดคือวันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม 2025 เพราะวันเสาร์-อาทิตย์ ตลาดหุ้นปิด
และจะต้องถือจนถึงวันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม 2025 หลังจากนั้นต่อให้เราขายหุ้นไปแล้ว ก็จะยังได้รับเงินปันผล
โดยวันที่จ่ายปันผล ≠ วันที่ XD
- วันที่ XD = หากเราซื้อหุ้นวันนี้จะไม่ได้ปันผลงวดล่าสุดแล้ว
- วันที่จ่ายปันผล = วันที่เงินปันผลเข้าบัญชีของเรา
3. คำศัพท์เกี่ยวกับปันผลที่ควรรู้
- อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield)
มีความหมายว่า หากลงทุนในหุ้น จะมีโอกาสได้รับปันผลกี่เปอร์เซ็นต์
มีความหมายว่า หากลงทุนในหุ้น จะมีโอกาสได้รับปันผลกี่เปอร์เซ็นต์
สูตรคำนวณคือ อัตราผลตอบแทนเงินปันผล = เงินปันผล ÷ ราคาหุ้น
เช่น อัตราผลตอบแทนเงินปันผลของหุ้น A = 5%
หากซื้อหุ้น 200 บาท มีโอกาสจะได้ปันผล = 200 x 5% = 10 บาท
หากซื้อหุ้น 200 บาท มีโอกาสจะได้ปันผล = 200 x 5% = 10 บาท
โดยที่ต้องใช้คำว่า “มีโอกาส” เพราะว่า อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่แสดงคือ ผลลัพธ์ในอดีต
ซึ่งหากผลประกอบการลดลง ก็มีแนวโน้มที่เงินปันผลจะลดลงได้ กลับกันหากผลประกอบการเพิ่มขึ้น เงินปันผลก็มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มตาม
- อัตราส่วนการจ่ายปันผล (Dividend Payout Ratio)
มีความหมายว่า บริษัทหักเงินจากกำไรที่ทำได้ในแต่ละงวด มาจ่ายปันผล เป็นจำนวนสัดส่วนเท่าไร
มีความหมายว่า บริษัทหักเงินจากกำไรที่ทำได้ในแต่ละงวด มาจ่ายปันผล เป็นจำนวนสัดส่วนเท่าไร
สูตรคำนวณคือ อัตราส่วนการจ่ายปันผล = เงินปันผล ÷ กำไร
เช่น อัตราส่วนการจ่ายปันผลของหุ้น B = 30%
แสดงว่า ถ้าบริษัทมีกำไร 100 บาท จะจ่ายปันผล 30 บาท
แสดงว่า ถ้าบริษัทมีกำไร 100 บาท จะจ่ายปันผล 30 บาท
ทำไมหลายบริษัทถึงเลือกไม่จ่ายปันผลเต็มอัตรา ?
เพราะกำไรส่วนที่เหลือ บริษัทสามารถนำไปใช้ในการต่อยอดกิจการ เพื่อเพิ่มผลประกอบการในอนาคต
นึกภาพง่าย ๆ ว่า ถ้าเราเปิดร้านอาหาร แล้วขายดีมาก ๆ ลูกค้าเต็มโต๊ะตลอด ก็คงอยากใช้กำไรที่ได้มาขยายสาขา เพื่อรองรับลูกค้า แทนการเก็บเข้ากระเป๋าเงินตัวเองทันที
- ความถี่ในการจ่ายปันผล
มีความหมายว่า ภายใน 1 ปี หุ้นจะจ่ายปันผลกี่ครั้ง
มีความหมายว่า ภายใน 1 ปี หุ้นจะจ่ายปันผลกี่ครั้ง
ซึ่งคำศัพท์นี้เข้าใจไม่ยาก แต่มีหลายคนที่สับสน เมื่อดูควบคู่กับอัตราผลตอบแทนเงินปันผล เช่น
หากหุ้น C มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผล = 10% และจ่ายปันผลทุกไตรมาส
บางคนจะเข้าใจว่า หุ้น C จ่ายปันผลที่ 10% ต่อไตรมาส แต่จริง ๆ แล้วความหมายคือ หุ้น C จ่ายทุกไตรมาส รวมกัน 4 ครั้งย้อนหลัง = 10% หรือเฉลี่ยไตรมาสละ 2.5% นั่นเอง
4. หุ้นที่จ่ายปันผลสูง ดีหรือน่ากลัว ?
อันดับแรกคือ ต้องดูก่อนว่า สิ่งนั้นใช่หุ้นหรือไม่
เช่น YieldMax ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น CONY, MSTY หรือ NVDY ที่หลายคนอาจลงทุน พวกนี้ไม่ใช่หุ้น แต่คือกองทุน ETF ที่ลงทุนใน Options ทำให้สามารถสร้างกระแสเงินสดมาจ่ายปันผลได้สูง
ดังนั้นความเสี่ยงจะไม่ได้อยู่ที่ผลประกอบการของบริษัทแล้ว แต่คือความสามารถของกองทุนที่จะยังสร้างกระแสเงินสดได้ตลอดไปหรือไม่
แต่ถ้าตรวจสอบแล้วว่าเป็นหุ้นจริง ๆ ก็ไปสู่ขั้นตอนต่อไป นั่นคือ หุ้นจ่ายปันผลสูง เพราะอะไร
จากข้อ 3 อัตราผลตอบแทนเงินปันผล = เงินปันผล ÷ ราคาหุ้น
ถ้าอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง หมายความว่า เงินปันผลสูง หรือไม่ก็ราคาหุ้นลดลงหนัก
ซึ่งหากอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง ได้มาจากราคาหุ้นที่ลดลงหนัก แบบนี้อาจไม่น่าสนใจ
เพราะว่าราคาหุ้นอาจสะท้อนมาจากพื้นฐานธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ ผลประกอบการถดถอย และในที่สุดบริษัทก็จะจ่ายเงินปันผลได้น้อยลง
กลับกันถ้าอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง เกิดจากเงินปันผลสูง อันนี้จะน่าจับตามอง
อย่างไรก็ตาม ต้องดูด้วยว่า เงินปันผลสูงนั้นมาจากผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ บางครั้งบริษัทแย่ แต่กู้เงินมาจ่ายปันผล แบบนี้ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดี
หรือเงินปันผลสูงมาจากกำไรพิเศษ เช่น ขายเครื่องจักร ขายที่ดิน ขายหน่วยธุรกิจ ก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะไม่ได้มาจากการดำเนินธุรกิจปกติ และเป็นเงินก้อนที่เข้ามาครั้งเดียวจบ
คุณสมบัติอื่น ๆ ที่หุ้นปันผลสูงที่ดีควรมี ได้แก่
- บริษัทต้องไม่อยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง เพราะสุดท้ายจะเกิดการแข่งขันตัดราคา หรือลูกค้าน้อยลง ทำให้บริษัทมีผลประกอบการแย่ และจ่ายปันผลได้น้อยลง
- บริษัทมีความสามารถในการจ่ายเงินปันผล โดยต้องมีกำไรสะสมและ “กระแสเงินสด” ที่เพียงพอ
- ความสม่ำเสมอในการจ่ายปันผล
5. ไม่มองเฉพาะหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง ให้หาหุ้นที่มีแนวโน้มจะเพิ่มปันผลได้เรื่อย ๆ แม้ว่าปัจจุบันจะยังจ่ายปันผลไม่สูงนักก็ตาม
ปัญหาหนึ่งของหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงคือ หุ้นหลายตัวมักจะอยู่ในช่วงที่ธุรกิจเริ่มอิ่มตัว
ทำให้เรามีโอกาสที่จะได้รับปันผลเท่าเดิมไปเรื่อย ๆ หรือสุดท้ายได้รับปันผลน้อยลง จากการที่ธุรกิจไม่สามารถขยายตัวได้แล้ว หรือหดตัวลง
แล้วหุ้นแบบไหนที่มีโอกาสกลายเป็นหุ้นห่านทองคำ ?
สังเกตได้จากผลประกอบการ ทั้งรายได้และกำไร ต้องเติบโตไปด้วยกัน เพราะถ้า
- รายได้ไม่เติบโต แสดงว่า บริษัทจะเติบโตได้ ด้วยการลดต้นทุนเท่านั้น ซึ่งถึงจุดหนึ่งบริษัทจะลดไม่ได้แล้ว
- กำไรไม่เติบโต แสดงว่า บริษัทไม่สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ ต้องตั้งราคาไว้เท่าเดิม ขณะที่ต้นทุนสูงขึ้น เพื่อให้อยู่รอด หรือต้องอัดโปรโมชันหนัก ถึงจะขายของได้
อีกหนึ่งตัวเลขที่สะท้อนได้ว่า ธุรกิจยังมีโอกาสเติบโตต่อไปได้ คืออัตราส่วนการจ่ายปันผล (Dividend Payout Ratio)
- อัตราส่วนการจ่ายปันผลสูง แสดงว่า บริษัทเน้นการจ่ายปันผล แทนการนำกำไรไปต่อยอดธุรกิจ
- อัตราส่วนการจ่ายปันผลต่ำ แสดงว่า บริษัทยังเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจ จึงเลือกจ่ายปันผลน้อย และเก็บกำไรไว้ใช้ต่อ
- อัตราส่วนการจ่ายปันผลต่ำ แสดงว่า บริษัทยังเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจ จึงเลือกจ่ายปันผลน้อย และเก็บกำไรไว้ใช้ต่อ
อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนการจ่ายปันผลต่ำ ก็ไม่ได้ดีเสมอไป หากบริษัทนำไปลงทุนต่อได้แย่ เช่น ซื้อกิจการอื่น ที่ไม่ได้ช่วยกระจายความเสี่ยงของบริษัท หรือส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ
จากเรื่องราวทั้งหมด จะเห็นได้ว่า แม้เราต้องการสร้างพอร์ตกินปันผลธรรมดา ดูไม่ได้เล่นท่ายากอะไรมาก แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่ควรพิจารณาควบคู่ด้วย ถึงจะสามารถสร้างพอร์ตปันผลที่อยู่ได้ในระยะยาวนั่นเอง..
คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะของผลิตภัณฑ์ เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน