
สรุปประเด็นสำคัญ ที่คนอยากลงทุนใน S&P 500 ควรรู้ จบในโพสต์เดียว
สรุปประเด็นสำคัญ ที่คนอยากลงทุนใน S&P 500 ควรรู้ จบในโพสต์เดียว /โดย ลงทุนแมน
ช่วงที่ผ่านมา หลายคนน่าจะได้ยินว่า ถ้ามีเงินก้อนแล้วอยากลงทุนแบบไม่เครียด
ไม่ต้องติดตามข้อมูลข่าวสารเยอะ ให้เลือกลงทุนในดัชนี S&P 500 เพราะได้กำไรแน่นอน
ช่วงที่ผ่านมา หลายคนน่าจะได้ยินว่า ถ้ามีเงินก้อนแล้วอยากลงทุนแบบไม่เครียด
ไม่ต้องติดตามข้อมูลข่าวสารเยอะ ให้เลือกลงทุนในดัชนี S&P 500 เพราะได้กำไรแน่นอน
ประโยคดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ?
แล้วคนที่อยากลงทุนใน S&P 500 ควรรู้อะไรบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
แล้วคนที่อยากลงทุนใน S&P 500 ควรรู้อะไรบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
- ทำความรู้จักกับ S&P 500 ก่อน
S&P 500 คือดัชนีตัวแทนของบริษัทสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ในตลาดหุ้น จำนวน 500 บริษัท
โดยบริษัทเหล่านี้จำนวนมาก ไม่ได้มีรายได้เฉพาะในประเทศ แต่มาจากนอกสหรัฐฯ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น
โดยบริษัทเหล่านี้จำนวนมาก ไม่ได้มีรายได้เฉพาะในประเทศ แต่มาจากนอกสหรัฐฯ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น
1. NVIDIA (NVDA) ผู้ออกแบบชิประดับโลก
2. Microsoft (MSFT) ผู้พัฒนา Windows, Office และคลาวด์ Azure
3. Apple (AAPL) ผู้พัฒนา iPhone, AirPods และ Mac
4. Amazon (AMZN) เจ้าของอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลก และคลาวด์ AWS
5. Meta Platforms (META) เจ้าของ Facebook และ Instagram
6. Alphabet (GOOGL) เจ้าของ Google, YouTube และ Gemini
7. Berkshire Hathaway (BRK.B) บริษัทโฮลดิง ที่มีบริษัทในเครือมากมาย ของวอร์เรน บัฟเฟตต์
8. Tesla (TSLA) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
9. Eli Lilly (LLY) ผู้พัฒนายาเบาหวานและยาลดน้ำหนัก
10. Walmart (WMT) บริษัทห้างค้าปลีกรายใหญ่ในสหรัฐฯ
2. Microsoft (MSFT) ผู้พัฒนา Windows, Office และคลาวด์ Azure
3. Apple (AAPL) ผู้พัฒนา iPhone, AirPods และ Mac
4. Amazon (AMZN) เจ้าของอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลก และคลาวด์ AWS
5. Meta Platforms (META) เจ้าของ Facebook และ Instagram
6. Alphabet (GOOGL) เจ้าของ Google, YouTube และ Gemini
7. Berkshire Hathaway (BRK.B) บริษัทโฮลดิง ที่มีบริษัทในเครือมากมาย ของวอร์เรน บัฟเฟตต์
8. Tesla (TSLA) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
9. Eli Lilly (LLY) ผู้พัฒนายาเบาหวานและยาลดน้ำหนัก
10. Walmart (WMT) บริษัทห้างค้าปลีกรายใหญ่ในสหรัฐฯ
ดังนั้น การลงทุนใน S&P 500 จึงเปรียบเสมือน เราเชื่อมั่นในบริษัทสหรัฐฯ ว่าจะยังคงแข็งแกร่ง
และสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
และสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
- โดยคนไทยสามารถลงทุนใน S&P 500 ได้ผ่าน 2 ทางเลือกหลักคือ
1. ETF
หรือพูดง่าย ๆ ว่าคือ กองทุนรวมที่ซื้อขายได้เหมือนหุ้น ราคาแสดงแบบเรียลไทม์
เลยทำให้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า ETF คือหุ้น
หรือพูดง่าย ๆ ว่าคือ กองทุนรวมที่ซื้อขายได้เหมือนหุ้น ราคาแสดงแบบเรียลไทม์
เลยทำให้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า ETF คือหุ้น
โดย ETF ที่ลงทุนเลียนแบบดัชนี S&P 500 ได้แก่
SPDR S&P 500 ETF Trust (SPY)
iShares Core S&P 500 ETF (IVV)
Vanguard S&P 500 ETF (VOO)
iShares Core S&P 500 ETF (IVV)
Vanguard S&P 500 ETF (VOO)
ซึ่ง ETF ทั้ง 3 ตัวมีนโยบายการลงทุนเลียนแบบดัชนี S&P 500 เหมือนกัน
ต่างกันตรงที่บริษัทผู้ออก ETF คือคนละบริษัท
ต่างกันตรงที่บริษัทผู้ออก ETF คือคนละบริษัท
SPY ออกโดย State Street
IVV ออกโดย BlackRock
VOO ออกโดย Vanguard
IVV ออกโดย BlackRock
VOO ออกโดย Vanguard
ทำให้รายละเอียดส่วนอื่น ๆ ของ ETF มีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น สภาพคล่อง, ขนาดมูลค่าทรัพย์สิน หรือค่าธรรมเนียมกองทุนก็ตาม
ตัวอย่าง
SPY มีค่าธรรมเนียมกองทุน = 0.09%
IVV มีค่าธรรมเนียมกองทุน = 0.03%
VOO มีค่าธรรมเนียมกองทุน = 0.03%
SPY มีค่าธรรมเนียมกองทุน = 0.09%
IVV มีค่าธรรมเนียมกองทุน = 0.03%
VOO มีค่าธรรมเนียมกองทุน = 0.03%
ดังนั้น ETF เหมาะกับคนที่ต้องการซื้อขายได้สะดวก ค่าธรรมเนียมต่ำ และยอมรับความเสี่ยงค่าเงินได้
2. กองทุนรวม
ซึ่งกองทุนส่วนใหญ่ในไทย จะนำเงินของเราไปลงทุนใน ETF อีกที
ซึ่งกองทุนส่วนใหญ่ในไทย จะนำเงินของเราไปลงทุนใน ETF อีกที
ข้อดีคือ ไม่ต้องเสียภาษีลงทุนนอก
และมีข้อดีอื่น ๆ เช่น ลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา หรือมีการบริหารความเสี่ยงค่าเงิน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับแต่ละกองทุน
หากต้องการลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา ก็ต้องเลือกกองทุนรวมประเภท RMF
หรือหากต้องการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน ก็ดูกองทุนที่มีนโยบายบริหารความเสี่ยงค่าเงิน
หรือหากต้องการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน ก็ดูกองทุนที่มีนโยบายบริหารความเสี่ยงค่าเงิน
- มาถึงคำถามสำคัญ จริงหรือไม่ ที่การลงทุนใน S&P 500 จะไม่ขาดทุน
คำตอบคือไม่จริง เพราะ
ปี 2022 ผลตอบแทน S&P 500 = -18.11%
ปี 2018 ผลตอบแทน S&P 500 = -4.38%
ปี 2008 ผลตอบแทน S&P 500 = -37.00%
ปี 2002 ผลตอบแทน S&P 500 = -22.10%
ปี 2018 ผลตอบแทน S&P 500 = -4.38%
ปี 2008 ผลตอบแทน S&P 500 = -37.00%
ปี 2002 ผลตอบแทน S&P 500 = -22.10%
จะเห็นได้ว่า ก็มีบางปีที่ผลตอบแทน S&P 500 ติดลบได้
อย่างไรก็ตาม หากดูข้อมูลผลตอบแทนระยะยาวช่วง 30 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า S&P 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 10% ต่อปี
หรือถ้าลงทุนด้วยเงิน 10,000 บาท เมื่อ 30 ปีก่อน ปัจจุบันเงินก้อนนั้นจะกลายเป็น 174,494 บาท
โดยสาเหตุที่ S&P 500 สามารถเติบโตมาได้ระดับนี้ ก็ต้องบอกว่ามาจากบริษัทสหรัฐฯ ที่เติบโตและแข็งแกร่งมาโดยตลอดนั่นเอง
นี่เลยเป็นเหตุผลว่า ทำไมกูรูทางการเงินหลายคน รวมถึงวอร์เรน บัฟเฟตต์ ถึงแนะนำให้ลงทุนใน S&P 500
- แล้วเราควรเลือก ETF หรือกองทุนรวมอย่างไรดี ?
1. เทียบข้อดีและข้อเสียของแต่ละทางเลือกว่า แบบไหนเหมาะกับเรามากกว่ากัน
2. ดูค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ค่าธรรมเนียมซื้อ-ขาย, ค่าธรรมเนียมการจัดการ จนถึงค่าใช้จ่ายกองทุนรวม
โดยเลือกกองทุนที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ เพราะกองทุนที่มีนโยบายเลียนแบบดัชนีตลาดหุ้น ไม่ควรมีค่าธรรมเนียมที่สูง เพราะมีการบริหารจัดการที่ไม่ยาก
ซึ่งหนึ่งในประเภทกองทุนที่มีค่าธรรมเนียมต่ำและได้รับความนิยมคือ กองทุนรวมประเภท E-Class เช่น SCBS&P500E
3. ดูผลตอบแทนกองทุนที่ผ่านมา ควรให้ใกล้เคียงตลาดมากที่สุด เทียบผลตอบแทนตั้งแต่ 1 เดือน, 3 เดือน, 1 ปี, 3 ปี, 5 ปี จนถึงตั้งแต่กองทุนก่อตั้ง เพราะกองทุน S&P 500 คือกองทุนเลียนแบบดัชนี
เพียง 3 ขั้นตอนนี้ เราก็จะได้กองทุน S&P 500 ที่ถูกใจแล้ว
อย่างไรก็ตามอย่างที่เล่ามา การลงทุนใน S&P 500 ใช่ว่าจะได้ผลตอบแทนที่บวกเสมอไป
อย่างไรก็ตามอย่างที่เล่ามา การลงทุนใน S&P 500 ใช่ว่าจะได้ผลตอบแทนที่บวกเสมอไป
ดังนั้นผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน เช่นเดียวกับป้ายคำเตือนที่บริษัทหลักทรัพย์มักจะเขียนไว้เสมอ..
หมายเหตุ : บทความที่นำเสนอนี้เป็นเพียงแนวทางและมุมมองเท่านั้น ผู้อ่านคือผู้ตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว ในการรับความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการลงทุน โปรดศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบและพิจารณาถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องด้วยตัวเองเสมอ