
Leverage กลยุทธ์ประเทศเล็ก ปั้นตัวเอง ให้ยิ่งใหญ่ ระดับโลก
Leverage กลยุทธ์ประเทศเล็ก ปั้นตัวเอง ให้ยิ่งใหญ่ ระดับโลก /โดย ลงทุนแมน
ถ้าตอนนี้เรามีเงิน 100 บาท แต่อยากมีเงิน 120 บาท ต้องทำอย่างไร ?
ถ้าตอนนี้เรามีเงิน 100 บาท แต่อยากมีเงิน 120 บาท ต้องทำอย่างไร ?
คำตอบนี้ก็ตรงไปตรงมา คือ กู้เงินมาเพิ่ม 20 บาท หรือไม่ก็หารายได้เพิ่มเพื่อให้ตัวเองมีเงิน 120 บาท
แล้วถ้าเปลี่ยนจากตัวเรา เป็นประเทศหนึ่งที่อยากให้เศรษฐกิจตัวเองโต
สิ่งที่ต้องเลือกก็ไม่ต่างกัน คือจะทำให้เศรษฐกิจตัวเองโตด้วยการกู้เงินมาลงทุน หรือหารายได้เข้าประเทศเพิ่มแทน
อย่างไรก็ตาม ประเทศเล็ก ๆ ก็เลือกใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า Leverage ซึ่งเลือกผสมวิธีการ 2 แบบ ทั้งการ
กู้ยืมและหารายได้เพิ่มไปพร้อมกันได้อย่างน่าสนใจ
กู้ยืมและหารายได้เพิ่มไปพร้อมกันได้อย่างน่าสนใจ
ประเทศเล็กใช้ Leverage ให้เศรษฐกิจโตอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ถ้าพูดถึง Leverage ในวงการลงทุน มันคือ การที่เรามีเงินไม่พอจะลงทุน จึงไปกู้ยืมมาลงทุนเพิ่ม แล้ววางหลักประกันเป็นหุ้นหรือสินทรัพย์อะไรบางอย่างเอาไว้
หรือว่าจะใช้การ Leverage เป็นเครื่องมือขยายขนาดการลงทุน ให้มากกว่าทุนที่เรามีอยู่จริง เพื่อหวังผลตอบแทนที่ทวีคูณขึ้น ก็ได้เช่นกัน
แต่สำหรับประเทศเล็ก ๆ การใช้ Leverage ไม่ได้แปลว่า ประเทศนั้นต้องไปกู้ยืมเงินมาลงทุนเสมอไป
กลับกัน มันหมายถึง การยืมความสามารถของประเทศตัวเองมาเอาชนะข้อจำกัดของพื้นที่ เพื่อเพิ่มรายได้เข้าประเทศตัวเองให้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ
ซึ่งถ้าถามว่า แล้วประเทศไหนที่ใช้วิธีนี้บ้าง ตัวอย่างที่ดีและอยู่ไม่ไกลจากเราก็คือ “สิงคโปร์” ประเทศเกาะเล็ก ๆ ที่ใหญ่กว่าภูเก็ต แค่เท่าตัวกว่า ๆ เท่านั้น
สิงคโปร์เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เพราะเริ่มจากการไม่มีทรัพยากรธรรมชาติอะไรเลย ถ้าจะมี ก็มีแค่ทำเลที่ดีมากกับการเป็นเมืองท่าเท่านั้น
แต่สิงคโปร์ก็เอาชนะข้อจำกัดของพื้นที่ได้ ด้วยการยืมความสามารถของตัวเองที่มีอยู่แล้วเรื่อง “ทำเล” มาเพิ่มรายได้ของตัวเองให้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ
สิงคโปร์ปั้นความสามารถเรื่องทำเลของตัวเองให้เพิ่มขึ้น
ด้วยการทำ 2 สิ่งสำคัญ นั่นคือ
1) การทำตัวเป็นพ่อค้าคนกลาง
2) พัฒนาระบบการศึกษา
ด้วยการทำ 2 สิ่งสำคัญ นั่นคือ
1) การทำตัวเป็นพ่อค้าคนกลาง
2) พัฒนาระบบการศึกษา
ในการเป็นพ่อค้าคนกลาง รู้ไหมว่า สิงคโปร์เป็นประเทศที่ไม่มีน้ำมัน แต่ปัจจุบัน กลายเป็นผู้ส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปอันดับ 5 ของโลก
หลายคนคงคิดว่า นี่คงเป็นเรื่องบังเอิญอยู่แล้ว เพราะสิงคโปร์เป็นเมืองท่าสำคัญของโลก ที่น่าจะมีการขนส่งน้ำมันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
แต่จริง ๆ แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะเป็นความตั้งใจของรัฐบาลสิงคโปร์ ที่สร้างอุตสาหกรรมน้ำมันในประเทศ
ตั้งแต่ต้นน้ำจนไปถึงปลายน้ำ
ตั้งแต่ต้นน้ำจนไปถึงปลายน้ำ
ทำให้สิงคโปร์ ไม่ได้เป็นแค่เมืองท่ารับขนถ่ายน้ำมัน แต่ยังเป็นพ่อค้าคนกลางที่รับน้ำมันดิบมากลั่นในประเทศ ก่อนส่งขายต่อแบบน้ำมันสำเร็จรูปให้ประเทศอื่นได้
ซึ่งแม้แต่ประเทศไทยเอง ก็ยังส่งออกน้ำมันบางส่วนไปให้สิงคโปร์กลั่นขายอีกด้วย
เรียกได้ว่า นี่ไม่ต่างอะไรกับการเป็นพ่อค้าคนกลาง ที่คอยรับส่วนแบ่งรายได้จากการซื้อมา-ขายไปตลอดเวลา
และปัจจุบันสิงคโปร์ ก็ไม่ได้เป็นพ่อค้าคนกลางน้ำมันแค่อย่างเดียว แต่ยังเป็นพ่อค้าคนกลางด้านการเงิน เพราะกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของเอเชียไปแล้ว
ซึ่งก็เหมือนกับการวางตัวเองเป็นพ่อค้าคนกลางน้ำมัน
สิงคโปร์ยังคิดวางระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินมานาน เพื่อให้เงินทุนจากทั่วโลกไหลเข้ามาและหมุนเวียนอยู่ในประเทศ โดยใช้จุดแข็งเรื่องทำเลของตัวเองต่อยอดไปเรื่อย ๆ
สิงคโปร์ยังคิดวางระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินมานาน เพื่อให้เงินทุนจากทั่วโลกไหลเข้ามาและหมุนเวียนอยู่ในประเทศ โดยใช้จุดแข็งเรื่องทำเลของตัวเองต่อยอดไปเรื่อย ๆ
นอกจากการวางตัวประเทศให้เป็นพ่อค้าคนกลาง สิงคโปร์ยังให้ความสำคัญกับระบบการศึกษามาก ๆ
เพื่อพัฒนาแรงงานของประเทศให้มีคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง
เพื่อพัฒนาแรงงานของประเทศให้มีคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง
เพราะสิงคโปร์เชื่อว่า ทรัพยากรที่สำคัญสุดของประเทศ
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน นั่นคือ “คน” ที่จะกลายเป็นแรงงานทักษะสำคัญให้กับประเทศตัวเอง
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน นั่นคือ “คน” ที่จะกลายเป็นแรงงานทักษะสำคัญให้กับประเทศตัวเอง
สุดท้ายแล้ว การพัฒนาคนก็จะวนกลับไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของสิงคโปร์ ที่กลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
ภายในเวลาแค่ชั่วอายุคนเท่านั้น
ภายในเวลาแค่ชั่วอายุคนเท่านั้น
จะเห็นได้ว่า สิงคโปร์เลือกใช้ Leverage ของตัวเองด้วยการใช้ “ทำเล” ของตัวเอง เพิ่มรายได้เข้าประเทศตัวเองไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องสนใจเลยว่า จะมีข้อจำกัดของพื้นที่หรือไม่
ซึ่งนอกจากสิงคโปร์แล้ว ถ้ามองไปยังประเทศอื่น ๆ ที่มีพื้นที่เล็กเหมือนกัน ก็จะเลือกใช้การ Leverage ประเทศตัวเองในรูปแบบที่ต่างกันออกไป
- สวิตเซอร์แลนด์ เลือกใช้โมเดลการเป็นผู้นำเกษตรแปรรูป และบริการทางการเงินที่มีความน่าเชื่อถือระดับโลก
- ไอร์แลนด์ เลือกใช้โมเดลประเทศปลอดภาษี เพื่อดึงดูดให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุน
- อิสราเอล เลือกใช้โมเดลการสนับสนุนเทคโนโลยี จนเกิดเป็นสตาร์ตอัปเทคโนโลยีขึ้นมามากมาย
ทั้งหมดนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่วิชาการเงินเรียกกันว่า Operating Leverage ที่เกิดขึ้นเมื่อกำไรของบริษัทนั้น
เติบโตมากกว่ารายได้ ในปีเดียวกัน เพราะต้นทุนคงที่ไม่ได้เพิ่มตาม
เติบโตมากกว่ารายได้ ในปีเดียวกัน เพราะต้นทุนคงที่ไม่ได้เพิ่มตาม
ทำให้เมื่อรายได้ที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ก็ส่งผลให้กำไรกระโดดขึ้นมากได้
ตัดกลับมาที่ประเทศไทย จริง ๆ เราเองก็มีสิ่งที่น่าจะ Leverage ประเทศให้ไปไกลระดับโลกอีกมากมาย แบบที่ประเทศเล็ก ๆ พิสูจน์แล้วว่าทำได้
ซึ่งไม่ใช่เป็นการ Leverage ด้วยการกู้ยืมเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ แต่เป็นการยืมความสามารถของประเทศที่มีอยู่แล้ว มาพัฒนาแบบจริงจังเสียที..