กรณีศึกษา ทำไมเวียดนาม ยอมเดิมพัน 2.2 ล้านล้าน กับรถไฟความเร็วสูง

กรณีศึกษา ทำไมเวียดนาม ยอมเดิมพัน 2.2 ล้านล้าน กับรถไฟความเร็วสูง

กรณีศึกษา ทำไมเวียดนาม ยอมเดิมพัน 2.2 ล้านล้าน กับรถไฟความเร็วสูง /โดย ลงทุนแมน
หากประเทศไทย มีโปรเจกต์ที่จะมาพลิกโฉมหน้าประเทศ อย่าง “แลนด์บริดจ์”
ที่ใช้เส้นทางรถไฟหรือถนน ลำเลียงตู้คอนเทนเนอร์เชื่อมท่าเรือฝั่งอ่าวไทยกับฝั่งอันดามัน
ประเทศเวียดนาม ก็มีโปรเจกต์ระดับบิ๊ก ซึ่งก็คือ รถไฟความเร็วสูง
ที่เชื่อมกรุงฮานอย-นครโฮจิมินห์ มูลค่า 2.2 ล้านล้านบาท
ซึ่งถ้าทำสำเร็จ ก็อาจเป็นโปรเจกต์ที่เปลี่ยนโฉมหน้าประเทศไปเลย
แล้วทำไมรถไฟความเร็วสูง ถึงกลายเป็นไอเทม
ที่เข้ามาเปลี่ยนโฉมเวียดนาม
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
หากเราเปิด Google Maps ดูแผนที่ประเทศเวียดนาม
เราจะเห็นว่า เส้นทางรถไฟความเร็วสูงของเวียดนาม
สร้างเพียงแค่ 1 เส้นทาง ก็ครอบคลุมได้เกือบทั้งประเทศแล้ว
โดยเส้นทางเริ่มต้นจากกรุงฮานอย เมืองหลวงทางฝั่งเหนือของเวียดนาม
มายังนครโฮจิมินห์ เมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม
เส้นทางรถไฟความเร็วสูงเส้นนี้ จะมีระยะทางประมาณ 1,500 กิโลเมตร
ทอดยาวตั้งแต่เหนือจรดใต้ ไปตามแนวยาวของประเทศ
ตามแผนคือ จะสร้างทั้งหมด 23 สถานี ผ่านจังหวัดและเมืองต่าง ๆ 20 แห่ง
ซึ่งงบประมาณ ที่จะใช้ก่อสร้างโครงการนี้อยู่ที่ 2.2 ล้านล้านบาท
โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายในการเคลียร์พื้นที่
โดยผู้ที่เข้ามาเสนอเพื่อดำเนินการก่อสร้าง คือ VinSpeed บริษัทย่อยที่ตั้งขึ้นมาใหม่
ของเครือ Vingroup บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำหลากหลายธุรกิจในประเทศเวียดนาม
ซึ่ง Vingroup จะเสนอแผนการลงทุน โดยแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 2 ก้อน คือ
- 20% จะเป็นเงินลงทุนของบริษัทเอง
- 80% จะขอกู้ยืมเงินจากรัฐบาล ด้วยอัตราดอกเบี้ย 0%
โดยโครงการรถไฟความเร็วสูงของเวียดนาม มีแผนเริ่มก่อสร้างในเดือนธันวาคมนี้
และคาดว่าจะสร้างเสร็จในปี 2030 หรือในอีก 5 ปีข้างหน้า
เมื่อสร้างเสร็จ จะช่วยลดเวลาเดินทางระหว่าง 2 เมืองใหญ่ คือ กรุงฮานอย กับนครโฮจิมินห์
ซึ่งเดิมทีต้องใช้เวลาเดินทาง 30 ชั่วโมง หรือเดินทางจาก 1 วันกว่า ๆ เหลือเพียง 5 ชั่วโมงเท่านั้น
นอกจากจะใช้ขนส่งมวลชนได้เร็วขึ้น รถไฟความเร็วสูง
ก็ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจบริเวณพื้นที่รอบ ๆ หรือเมืองที่รถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่านด้วย
โดยรัฐบาลเวียดนามคาดว่า เมื่อโครงการรถไฟความเร็วสูงสร้างเสร็จ
จะช่วยเร่ง GDP ของเวียดนามให้เติบโตเพิ่มอีกอย่างน้อย 1%
และมีประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างมหาศาล
เพราะประเทศเวียดนาม มีรูปร่างเรียวยาวเป็นตัว S โดยมีเมืองใหญ่ 2 เมือง
นั่นคือ กรุงฮานอย เมืองหลวงทางฝั่งเหนือของเวียดนาม
กับนครโฮจิมินห์ เมืองใหญ่ที่สุดทางฝั่งใต้ของเวียดนาม
เมื่อเป็นประเทศที่ทอดตัวเป็นแนวยาว แถมมีเมืองขนาดใหญ่ 2 แห่ง ทั้งฝั่งเหนือกับฝั่งใต้
ทำให้โจทย์สำคัญที่รัฐบาลเวียดนามต้องการจะทำคือ
ทำให้กรุงฮานอย และนครโฮจิมินห์ เชื่อมถึงกันและเดินทางได้สะดวก
แน่นอนว่าหนึ่งในคำตอบนั้นก็คือ การสร้างรถไฟความเร็วสูง
ที่ช่วยลดระยะเวลาเดินทางให้เร็วกว่าเดิมถึง 6 เท่า
นอกจากจะเดินทางสะดวก และรวดเร็วขึ้นแล้ว
โครงการเมกะโปรเจกต์นี้ ก็ยังทำให้เศรษฐกิจของเวียดนาม ได้รับประโยชน์ทางอ้อมด้วย เริ่มจาก
1. ทำให้เมืองท้องถิ่น และเมืองที่อยู่รอบ ๆ นั้นเจริญขึ้น
เมื่อรถไฟความเร็วสูงสร้างเสร็จ แล้วมีคนไปใช้บริการเยอะขึ้น
ก็จะทำให้พื้นที่โดยรอบเกิดการพัฒนา
เช่น เกิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ธุรกิจท้องถิ่นโตขึ้น
หรือเกิดการลงทุนโครงการใหม่ ๆ อย่างเช่น โรงแรม หรืออสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่แห่งนั้น
ทั้งหมดนี้ก็ทำให้เกิด Network Effect บริเวณชุมชนรอบ ๆ สถานี
ทำให้ที่ดินรอบ ๆ สถานีมีมูลค่าสูงขึ้น และเมืองที่รถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่าน
ก็จะมีเศรษฐกิจภายในเมืองที่เติบโตมากขึ้น
2. ตัวเลือกใหม่ของการขนส่ง ที่เร็วกว่ารถยนต์ และถูกกว่าเครื่องบิน
สินค้าขนาดเล็ก มูลค่าสูง หรือสินค้าที่มีปัจจัยสำคัญเป็นเรื่องของเวลาขนส่ง เช่น อิเล็กทรอนิกส์, อาหารสด, ยา, พัสดุออนไลน์ และสินค้าธุรกิจด่วน หรือแม้แต่การเดินทางระหว่าง 2 เมืองใหญ่
การใช้รถไฟความเร็วสูง ถือเป็นขนส่งทางเลือกที่ถูกกว่าเครื่องบิน
แต่ยังคงให้การเดินทางที่รวดเร็วมากพอสำหรับระยะทาง 1,500 กิโลเมตร
อีกทั้งยังทำให้ธุรกิจขนส่ง ไม่จำเป็นต้องตั้งฮับในการขนส่งสินค้าหลาย ๆ เมือง
รวมถึงยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจภายในประเทศ
สามารถขยายตลาดเพื่อค้าขายไปยังเมืองไกล ๆ ได้ ด้วยต้นทุนที่ถูกลง
3. รถไฟความเร็วสูงของเวียดนาม เป็นตัวกลางในการขนส่งสินค้า กับประเทศอื่น ๆ
ถ้ารถไฟความเร็วสูงสร้างเสร็จ จะมีบทบาทสำคัญมาก ๆ ในการเชื่อมต่อการค้ากับกลุ่มประเทศอินโดจีน
โดยอาศัยความแข็งแกร่งของเครือข่ายท่าเรือน้ำลึกที่มีอยู่
ซึ่งก็ต้องบอกว่า ในประเทศเวียดนาม มีท่าเรือขนาดใหญ่อยู่ 4 แห่ง นั่นก็คือ
- ท่าเรือ Hai Phong ท่าเรือน้ำลึกที่ใหญ่สุดในเวียดนาม ตั้งอยู่ใกล้กับกรุงฮานอย
- ท่าเรือ Da Nang ตั้งอยู่ในเมืองดานัง ทางตอนกลางของเวียดนาม
- ท่าเรือ Ho Chi Minh ตั้งอยู่ในตัวเมืองโฮจิมินห์ ท่าเรือนี้คล้าย ๆ กับท่าเรือคลองเตยบ้านเรา
คือสามารถเป็นสถานที่ส่งออกสินค้าได้โดยตรง
- ท่าเรือ Cai Mep ตั้งอยู่ในจังหวัดหวุงเต่า ท่าเรือนี้ตั้งอยู่ที่ชายฝั่งใกล้กับนครโฮจิมินห์
ด้วยท่าเรือขนาดใหญ่ถึง 4 แห่งที่กระจายตัวอยู่ในแต่ละภูมิภาค
รถไฟความเร็วสูงจะทำหน้าที่เป็นตัวกลาง คอยเชื่อมท่าเรือ 4 แห่งนี้
ส่วนในเรื่องของระยะเวลาก่อสร้างที่นานมากกว่า 5 ปี และต้องใช้งบประมาณที่สูงและบานปลายกว่าปกติมาก ซึ่งคาดว่าโครงการนี้จะมีระยะเวลาคืนทุน อยู่ที่ 34 ปี
ก็เพราะด้วยภูมิประเทศของเวียดนามกว่า 75% นั้นเป็นภูเขา
ทำให้ต้องใช้เทคนิคพิเศษในการก่อสร้างเยอะ อย่างเช่น การทำสะพาน หรือเจาะอุโมงค์ทะลุภูเขา
แต่ก็ต้องบอกว่า ประเทศที่พัฒนารถไฟความเร็วสูงจนสำเร็จ อย่างประเทศญี่ปุ่น
ก็มีภูมิประเทศที่เป็นภูเขากว่า 75% เช่นเดียวกัน
แต่ประเทศญี่ปุ่น มีความได้เปรียบเวียดนามอยู่เรื่องหนึ่ง คือ
ญี่ปุ่นมีเมืองขนาดใหญ่หลาย ๆ เมืองเชื่อมโยงกัน
ทำให้สามารถแบ่งเฟสในการก่อสร้างได้ถี่กว่าและสั้นกว่า
จึงเริ่มต้นได้ง่าย และมีความคุ้มค่ามากกว่า
ถ้าให้ยกตัวอย่างก็เช่น เส้นทางรถไฟชิงกันเซ็งสายแรกของโลก อย่าง Tokaido Shinkansen นั้น
สร้างด้วยระยะทางเพียง 553 กิโลเมตร
หรือยาวเพียงแค่ 1 ใน 3 ของระยะทางรถไฟความเร็วสูงของเวียดนามเท่านั้น
โดยชิงกันเซ็งสายนี้ ก็ได้วิ่งผ่านฮับเศรษฐกิจถึง 3 แห่งด้วยกัน ได้แก่
ฮับโตเกียว ฮับนาโกยะ และฮับโอซากา
ซึ่งทั้ง 3 เมืองนี้ ก็มีเมืองเล็กเมืองน้อยที่เป็นปริมณฑลอยู่รอบ ๆ
แถมยังมีเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญใกล้ ๆ อย่าง
เมืองโยโกฮามา เมืองชิซูโอกะ ที่อยู่ใกล้เขตปริมณฑลโตเกียว
หรือเมืองเกียวโต เมืองนารา ที่อยู่ใกล้เขตปริมณฑลโอซากา
ที่สำคัญคือ รอบ ๆ เมืองเหล่านี้ของญี่ปุ่น มีคนอยู่อาศัยกว่า 68 ล้านคน
หรือมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรญี่ปุ่นทั้งประเทศ ที่อยู่รอบ ๆ รถไฟชิงกันเซ็งสายนี้
ซึ่งเรียกได้ว่า Tokaido Shinkansen เป็นเส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายหลักระยะสั้น ๆ
แต่ก็สามารถเก็บเมืองอุตสาหกรรมและเมืองท่องเที่ยวได้เกือบหมด
เมื่อรอบ ๆ เมืองโตเกียว นาโกยะ และโอซากานั้น
กลายเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูง สามารถหาเงินเข้ามาในประเทศได้เป็นจำนวนมาก
ทำให้ในอีกหลายปีต่อมา รัฐบาลญี่ปุ่น ได้ขยายเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเพิ่มขึ้นไปอีก
จนมีเส้นทางรถไฟชิงกันเซ็งกว่า 10 สาย ทั่วทั้งประเทศ
ซึ่งโมเดลความสำเร็จของญี่ปุ่นนั้น ก็แตกต่างจากบริบทของประเทศเวียดนาม
ที่ 2 เมืองหลัก ซึ่งเป็นฮับอุตสาหกรรมของประเทศนั้น อยู่ห่างกันมากกว่า 1,000 กิโลเมตร
แถมเมืองท่องเที่ยว และเมืองอุตสาหกรรมอย่างเมืองดานัง เมืองญาจาง หรือเมืองไฮฟอง
ในปัจจุบัน ก็ยังไม่ใช่เมืองขนาดใหญ่มาก
รวมถึงประชากรเวียดนามเอง ก็ยังมีรายได้ไม่สูงมากเท่ากับประเทศที่พัฒนาแล้ว
จึงทำให้รถไฟความเร็วสูงในเวียดนาม อาจถึงจุดคุ้มทุนได้ช้ากว่าของญี่ปุ่นมาก
และอีกประเด็นคือ เรื่องระบบรถไฟฟ้าของเวียดนาม
ที่แต่เดิมประเทศเวียดนาม ไม่ได้มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง
ดังนั้น เวียดนาม ก็จำเป็นต้องนำเข้าเทคโนโลยีระบบรถไฟฟ้า หรือจำเป็นต้องได้รับการถ่ายทอดความรู้ เรื่องระบบเทคโนโลยี จากประเทศญี่ปุ่น หรือจีนก่อน
เช่นเดียวกับประเทศไทย ที่มีโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา
ก็ต้องได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี จากประเทศจีน
จึงเป็นที่น่าติดตามว่า รถไฟความเร็วสูงของเวียดนาม มูลค่ากว่า 2.2 ล้านล้านบาทนี้
เมื่อสร้างเสร็จแล้ว จะดันเศรษฐกิจเวียดนามให้เติบโต ได้เหมือนกับที่ญี่ปุ่นเคยทำได้หรือไม่
แต่เมื่อดูจากปัจจัยต่าง ๆ แล้ว
รถไฟความเร็วสูง ก็ดูจะตอบโจทย์เวียดนาม
ที่กำลังมองหาการขนส่งที่เข้าถึงได้ เชื่อมต่อได้หลากหลายเมือง
และรวดเร็วพอที่จะเดินทางจากเหนือไปใต้กว่า 1,500 กิโลเมตรได้ ภายในเวลาเพียงครึ่งวัน..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
โครงการเมกะโปรเจกต์ 2.2 ล้านล้าน เคยจะเกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี 2013
หรือเมื่อ 12 ปีก่อน ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น
รถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟทางคู่ และท่าเรือต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย..

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon