L’Oréal Groupe x ลงทุนแมน

แม้จะมีกระแสว่า AI จะเข้ามาแทนที่หลายอาชีพบนโลกใบนี้ ไปจนถึงข่าวบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกมากมายต่างปรับลดตำแหน่งงานจำนวนมาก

แต่กลับมีหนึ่งบริษัทระดับโลกที่มีพนักงานมากกว่า 90,000 คน เลือกที่จะให้ความสำคัญกับพนักงานของตัวเอง เป็นหัวใจในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

นั่นคือ ลอรีอัล กรุ๊ป บริษัทความงามที่มีอายุกว่า 115 ปี และใหญ่ที่สุดในโลกที่ดำเนินธุรกิจกว่า 150 ประเทศ ผ่าน 37 แบรนด์ในเครือ

ส่วน ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย มีผลิตภัณฑ์ความงามรวม 16 แบรนด์ ใน 4 แผนก คือ ผลิตภัณฑ์อุปโภค, ผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง, ผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ และผลิตภัณฑ์เวชสำอาง

ทำไม ลอรีอัล กรุ๊ป ถึงสวนกระแสตลาดแรงงานโลก ด้วยการเลือกพัฒนาศักยภาพพนักงานของตนเองไปพร้อม ๆ กับการโอบรับ AI เพื่อสร้างพลังให้กับพนักงานทุกรุ่น ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

เป้าหมายธุรกิจของ ลอรีอัล กรุ๊ป ณ วันนี้ ไม่ได้มองแค่ตัวเลขผลประกอบการที่เติบโตอย่างเดียว แต่ต้องการเป็นบริษัทความงามที่ขับเคลื่อนโลกใบนี้ให้สวยงาม

เหตุผลก็เพราะ “ขีดจำกัดความปลอดภัยของโลก” อยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วง ที่ใกล้ตัวเราเลยคือ อุณหภูมิโลกร้อนขึ้นทุกปี, ไฟป่า, สิ่งมีชีวิตบางชนิดใกล้สูญพันธุ์ และอีกหลายภัยพิบัติ ที่เป็นเหตุจากการกระทำของมนุษย์

ลอรีอัล กรุ๊ป เชื่อว่าด้วยสเกลธุรกิจความงามของตัวเองที่ใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของคนทั่วโลก น่าจะเป็นอีกหนึ่งพลังยิ่งใหญ่ ที่มีส่วนช่วยทำให้สุขภาพและสังคมของโลกใบนี้ ไม่เลวร้ายจนเกินจะรับไหว

เลยเป็นที่มาของนโยบาย Global Standard ที่ทุก ๆ แบรนด์ในเครือบริษัทจะต้องทำงานต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่จัดหาวัตถุดิบ-ผลิต-จัดจำหน่าย-ผู้บริโภค โดยทุกขั้นตอนที่กล่าวมาจะต้องสร้างผลกระทบเชิงบวกให้สังคมและสิ่งแวดล้อม

กลไกหลักที่ขับเคลื่อนกระบวนการทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เทคโนโลยีล้ำ ๆ หรือเทรนด์ AI แต่เป็น “พนักงาน” ของบริษัท โดยเฉพาะธุรกิจความงามที่ต้องเข้าใจ Insight & Emotional ของผู้บริโภคทั่วโลกที่แตกต่างกันออกไป “คน” ย่อมเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้งกว่าเทคโนโลยี จากนั้นค่อยใช้เทคโนโลยีมาเป็นเครื่องมือเสริมการทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เมื่อเชื่อว่า “พนักงาน” คือทรัพยากรที่มีค่าสูงสุดที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

ลอรีอัล กรุ๊ป เลยทุ่มเทเพื่อให้พนักงานทุกคนมีโอกาสเติบโต เรียนรู้และคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกให้ทั้งธุรกิจตัวเอง ผู้คน และสุขภาพของโลกใบนี้ ที่ทุกอย่างจะอยู่ในโหมด “ความยั่งยืน”

ด้วยแนวคิดบวกขององค์กรนี้เองทำให้ ลอรีอัล กรุ๊ป เป็นบริษัทต้น ๆ ของโลกที่ใคร ๆ ก็อยากเข้ามาทำงาน โดยเฉพาะเรื่องความหลากหลายและความเท่าเทียม ที่เป็น Global Policy ของบริษัทที่ได้ใจคนทั่วโลก โดยเฉพาะในเรื่องพนักงานที่จะเน้นไปที่ความเท่าเทียมและความหลากหลาย

วิธีคิดแบบนี้ทำให้ ลอรีอัล กรุ๊ป จะได้เปรียบในเชิงการแข่งขันในธุรกิจความงามกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ที่พฤติกรรมลูกค้า, วัฒนธรรม, เทรนด์ แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

เป็นเหตุผลให้พนักงาน ลอรีอัล กรุ๊ป ในแต่ละประเทศ นอกจากมีความหลากหลายทางเพศและเชื้อชาติแล้วนั้น ยังต้องสะท้อนถึงความหลากหลายในโลกธุรกิจความงามที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงประสบการณ์ลูกค้าทั่วโลก ผ่านความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม เพื่อให้ธุรกิจในแต่ละประเทศประสบความสำเร็จนั่นเอง

ความหลากหลาย และความเท่าเทียม ยังถูกส่งต่อมายังการบริหารพนักงานผ่าน 4 ข้อหลัก คือ

- เพศสภาพ และ LGBTQIA+
สร้างความเท่าเทียมทางเพศในทุก ๆ ระดับและทุกแผนก โดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQIA+ พร้อมมีมาตรการป้องกันการคุกคามและความรุนแรงทางเพศ

- ภาวะทุพพลภาพ
กำหนดเป้าหมายจำนวนผู้พิการที่จะรับเข้าทำงานในทุกประเทศ จนถึงไม่แบ่งแยกกับผู้บริโภค ซัปพลายเออร์ และผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจทั้งหมด

- ช่วงอายุและช่วงวัย
สร้างสังคมการทำงานเป็นทีมที่มาจากช่วงวัยและตำแหน่งงานที่แตกต่างกันออกไป

- สถานะทางสังคมและความหลากหลายของชาติพันธุ์
ให้ความสนใจไปที่ความหลากหลายด้านภูมิหลังเศรษฐกิจสังคม ในการรับสมัครคนเข้าทำงาน

เรื่องนี้ยังถูกขยายไปยัง “สวัสดิการพนักงาน” อย่างในประเทศไทย ที่ขยายสิทธิไปที่คู่รักเพศเดียวกัน เช่น สิทธิลาคลอดสำหรับบิดา 42 วัน เปลี่ยนเป็น Secondary Parental Leave สำหรับคู่สมรสเพศเดียวกัน ที่มีการอุปการะบุตร นั่นเอง

ในทุกปี ลอรีอัล กรุ๊ป ทั่วโลกจะมีกิจกรรมพัฒนาอาชีพรวมถึงโครงการที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่กว่า 25,000 คนได้ร่วม พร้อมตำแหน่งงานในอาณาจักรแห่งนี้ ผ่านโครงการ L’Oréal For Youth (L4Y) เรื่องนี้ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย

หลายคนอาจคิดว่าบริษัทระดับโลก จะจำกัดเพศสภาพและต้องเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ

ลอรีอัล กรุ๊ป ได้ทำลายความเชื่อตรงนี้ เมื่อผู้สมัครงานไม่ต้องระบุเพศสภาพ ไม่ต้องจบมหาวิทยาลัยชื่อดัง เพราะการประเมินจะวัดที่ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และความเหมาะสมกับตำแหน่ง

เป็นทั้งการให้โอกาสและเสริม Skill ต่าง ๆ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้โชว์ศักยภาพตัวเองในวันที่ตลาดแรงงานไม่เหมือนเดิม จนถึงภาคธุรกิจความงามที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ทีนี้ลองมาดูโครงสร้างพนักงาน ลอรีอัล กรุ๊ป ทั่วโลก จะพบว่ามีพนักงานที่อายุมากกว่า 50 ปี มากกว่า 13,000 คน หรือคิดเป็น 15% ของพนักงานทั้งหมด นั่นหมายความว่า ลอรีอัล กรุ๊ป จะมีพนักงาน 3 Gen ที่ต้องทำงานร่วมกัน

มุมหนึ่งคือความท้าทาย แต่อีกมุมหนึ่งก็คือโอกาส เพราะหากทำสำเร็จ จะทำให้ประสบการณ์ธุรกิจของพนักงานรุ่นเก๋า และความสดใหม่ ผสมกันอย่างลงตัว

และดูเหมือน ลอรีอัล กรุ๊ป จะทำเรื่องนี้สำเร็จ จนกลายเป็นบริษัทสำหรับคนทุกรุ่นที่ต้องทำงานร่วมกัน ผ่านกิจกรรม Generation Days โดยยึด 5 แกน คือ

- ความหลากหลายระหว่างวัย
เปลี่ยนมุมมองคนรุ่นใหม่ที่มีต่อพนักงานอาวุโส ผ่านบทเรียนออนไลน์ในหัวข้อเรื่องระหว่างวัยและอายุให้เรียนทั่วโลก

- ส่งเสริมสุขภาพและสุขภาวะในที่ทำงาน
ในฝรั่งเศส พนักงานอายุเกิน 50 ปี มีบริการให้คำแนะนำการป้องกันโรคครบวงจร ส่วนในจีนมีการนำเสนอแผนป้องกันสุขภาพและคุ้มครองครอบครัว

- โอกาสมีงานทำตลอดชีวิต
พนักงานทุกวัยจะได้เรียนรู้วิธีก้าวหน้าให้ทันโลก เช่น การสอนทักษะดิจิทัลพื้นฐานให้พนักงานทุกคนในโรงงานและศูนย์กระจายสินค้า

- การเกษียณราบรื่น
ที่ฝรั่งเศสมีการจัดสัมมนาพิเศษให้พนักงานอาวุโสได้เตรียมตัว ส่วนในจีนมีโครงการดูแลสุขภาพจิตเพื่อสนับสนุนแง่มุมต่าง ๆ แต่ละช่วงเวลาของชีวิต

- ไม่ได้ทำงานก็ยังมีคุณค่าต่อองค์กร
พนักงานเกษียณสามารถรักษาความสัมพันธ์กับบริษัทต่อไปผ่านการให้คำปรึกษาให้กับกลุ่มพนักงานเดิม

ส่วนเหตุผลที่ ลอรีอัล กรุ๊ป เชื่อว่า “พนักงาน” ยังเป็นทรัพยากรที่มีค่าสูงสุดในธุรกิจ เพราะนิยาม “ความสวยงาม” ไม่ได้หมายถึงแค่รูปลักษณ์ภายนอกของมนุษย์อย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึง การสร้างคุณค่าให้แก่ผู้คนและโลกใบนี้ ผ่านนวัตกรรมและแนวคิดการทำธุรกิจ เหมือนอย่าง SENSE OF PURPOSE ที่ว่า “สร้างสรรค์ความงามที่ขับเคลื่อนโลก”

และสิ่งที่จะทำให้เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นี้ประสบความสำเร็จ นั่นคือพนักงานกว่า 90,000 คน ที่อยู่ในอาณาจักร ลอรีอัล กรุ๊ป นั่นเอง..

References :
- รายงานปี 2025 Half-Year Results L'Oréal
- ข้อมูลจาก ลอรีอัล กรุ๊ป ประเทศไทย