
รู้จัก หุ้นลูกข่างเบย์เบลด ที่กำไรโตปีละ 41%
รู้จัก หุ้นลูกข่างเบย์เบลด ที่กำไรโตปีละ 41% /โดย ลงทุนแมน
รู้ไหมว่า ลูกข่าง BEYBLADE (เบย์เบลด) ที่เป็นกระแสนิยมในตอนนี้ ทั้งในวัยเด็ก หรือแม้แต่วัยผู้ใหญ่ก็ตาม
รู้ไหมว่า ลูกข่าง BEYBLADE (เบย์เบลด) ที่เป็นกระแสนิยมในตอนนี้ ทั้งในวัยเด็ก หรือแม้แต่วัยผู้ใหญ่ก็ตาม
เป็นเจ้าของเดียวกับ โมเดลรถยนต์จิ๋ว TOMICA, ของเล่นรถไฟ PLARAIL, หุ่นยนต์ TRANSFORMERS
ทั้งหมดอยู่ภายใต้ Takara Tomy บริษัทของเล่นญี่ปุ่น อายุ 100 ปี..
แต่พอบอกว่า บริษัทของเล่น หลายคนคงคิดว่า คงอิ่มตัวแล้ว เพราะเด็กก็เกิดน้อยลงเรื่อย ๆ
ความน่าสนใจคือ ตั้งแต่ปี 2023 บริษัทมีรายได้และกำไรเติบโตระเบิด โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 16% และ 41% ตามลำดับ
ขณะที่ ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวขึ้นมา 150% จนปัจจุบันมีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 61,800 ล้านบาท
ทำไม Takara Tomy ถึงน่าสนใจ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ย้อนไปในปี 1924 หรือราว 100 ปีที่แล้ว
บริษัท Tomy ก่อตั้งขึ้นโดยคุณ Eiichiro Tomiyama ที่เริ่มจากการผลิตเครื่องบินของเล่น
บริษัท Tomy ก่อตั้งขึ้นโดยคุณ Eiichiro Tomiyama ที่เริ่มจากการผลิตเครื่องบินของเล่น
ซึ่งถือเป็นบริษัทแรก ๆ ของญี่ปุ่น ที่นำระบบสายพานการผลิต มาใช้ในโรงงานของเล่น และจัดตั้งแผนกวิจัยของเล่นขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งในขณะนั้นถือเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาก
ต่อมาได้มีการพัฒนาของเล่นอีกมากมาย จนแบรนด์กลายเป็นที่รู้จัก
ปี 2006 Tomy ได้ควบรวมกิจการกับ Takara
บริษัทของเล่นที่เชี่ยวชาญในตุ๊กตา และของสะสมสำหรับผู้ใหญ่ กลายเป็น Takara Tomy จนมาถึงทุกวันนี้
บริษัทของเล่นที่เชี่ยวชาญในตุ๊กตา และของสะสมสำหรับผู้ใหญ่ กลายเป็น Takara Tomy จนมาถึงทุกวันนี้
นอกจากนี้ ในปี 2011 ได้เข้าซื้อกิจการ RC2 ผู้ผลิตของเล่นในสหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างฐานการขยายธุรกิจไปทั่วโลกอีกด้วย
ทีนี้ เรามาดูโมเดลธุรกิจปัจจุบันของ Takara Tomy กันบ้าง
โดยบริษัทแบ่งธุรกิจออกเป็น 3 ส่วน
1. TOMY Company เป็นบริษัทแกนหลักของกลุ่ม
โดยขาธุรกิจนี้ ถือเป็นแบรนด์ของเล่นที่แข็งแกร่ง ที่อยู่ในทุกช่วงวัยที่หลายคนน่าจะคุ้นเคย
โดยขาธุรกิจนี้ ถือเป็นแบรนด์ของเล่นที่แข็งแกร่ง ที่อยู่ในทุกช่วงวัยที่หลายคนน่าจะคุ้นเคย
อย่างเช่น โมเดลรถยนต์จิ๋ว TOMICA, ของเล่นรถไฟ PLARAIL, ลูกข่าง BEYBLADE, หุ่นยนต์ TRANSFORMERS รวมไปถึงการ์ดเกมต่าง ๆ
2. T-ARTS เป็นธุรกิจที่ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือการ์ตูน, เกม และคาแรกเตอร์ ที่หลายคนรู้จัก
เพื่อขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านสินค้าและบริการต่าง ๆ อย่างเช่น กาชาปอง, ตุ๊กตาและฟิกเกอร์, ตู้เกม, ของเล่นแถมขนม เป็นต้น
3. KIDDY LAND เครือข่ายร้านค้าปลีก ที่เป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าตัวการ์ตูน คาแรกเตอร์ต่าง ๆ
ผลประกอบการที่ผ่านมา (งบการเงินของบริษัท เริ่มวันที่ 1 เมษายน สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม)
ปี 2023
รายได้ 41,200 ล้านบาท กำไร 1,800 ล้านบาท
รายได้ 41,200 ล้านบาท กำไร 1,800 ล้านบาท
ปี 2024
รายได้ 45,800 ล้านบาท กำไร 2,200 ล้านบาท
รายได้ 45,800 ล้านบาท กำไร 2,200 ล้านบาท
ปี 2025
รายได้ 55,100 ล้านบาท กำไร 3,600 ล้านบาท
รายได้ 55,100 ล้านบาท กำไร 3,600 ล้านบาท
สัดส่วนรายได้มาจาก
- ญี่ปุ่น 66%
- ทวีปเอเชีย 21%
- ทวีปอเมริกา 10%
- ทวีปยุโรป 2%
- โอเชียเนีย 1%
- ญี่ปุ่น 66%
- ทวีปเอเชีย 21%
- ทวีปอเมริกา 10%
- ทวีปยุโรป 2%
- โอเชียเนีย 1%
จุดที่น่าสนใจเลยคือ นับตั้งแต่การควบรวมกิจการในปี 2006 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้อยู่ในระดับ 30,000-40,000 ล้านบาท
ก่อนที่ในปี 2023 บริษัทมีรายได้และกำไรเติบโตระเบิด โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 16% และ 41% ตามลำดับ
ซึ่งปีล่าสุด ถือว่าเป็นรายได้และกำไรสูงสุดของบริษัท ตั้งแต่ก่อตั้งมาเลยทีเดียว
คำถามต่อมาคือ อะไรที่ทำให้ Takara Tomy เติบโตขนาดนี้ ?
อย่างแรกคือ กลยุทธ์ที่ขยายเจาะกลุ่มลูกค้า ที่บริษัทเรียกว่า Kidults หรือผู้ใหญ่ที่ยังมีความเป็นเด็กในใจ และชื่นชอบของเล่น
ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ ยอมจ่ายเงินสำหรับสินค้าคุณภาพดี รวมถึงยังต้องการเติมเต็มสิ่งที่เคยขาดในวัยเด็ก
โดยมีผลิตภัณฑ์ที่เจาะกลุ่ม เช่น TOMICA PREMIUM, TOMICA LIMITED VINTAGE, TRANSFORMERS และสินค้างานอดิเรกแบรนด์ T-SPARK
โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์แบรนด์หลักอย่าง ลูกข่าง BEYBLADE ที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงรุ่น BEYBLADE X ที่เป็นกระแสนิยมในตอนนี้ไปทั่วโลก
ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก หรือวัยผู้ใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก หรือวัยผู้ใหญ่
ซึ่งมีจุดแข็งตรงที่ความเป็นมากกว่าแค่ของเล่น ที่ผลิตภัณฑ์จะมีความซับซ้อนมากขึ้นในการเล่น เช่น การปรับแต่งกลไกของลูกข่าง หรือการฝึกทักษะการปล่อยลูกข่างของผู้เล่นเอง เพื่อมาแข่งขันกัน
ซึ่งการแข่งขันยังเป็นการช่วยสร้างประสบการณ์ และเป็นการสร้างคอมมิวนิตีของผู้เล่นด้วย
BEYBLADE ถือเป็นหนึ่งแบรนด์ที่กำลังขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้บริษัท
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตในการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะร้านค้า KIDDY LAND ธุรกิจกาชาปองและตู้เกม
รวมไปถึงการได้รับประโยชน์จากกระแสความนิยม IP ของญี่ปุ่นที่แพร่หลายไปทั่วโลก ผ่านการ์ตูน อานิเมะ และตัวละครต่าง ๆ อีกด้วย
อ่านมาถึงตรงนี้ คงเห็นภาพโมเดลธุรกิจและกลยุทธ์ของ Takara Tomy กันไปแล้ว
เบื้องหลังการเติบโตของบริษัทของเล่น 100 ปีแห่งนี้ เกิดจากการที่เข้าใจว่า การเล่นไม่ได้จำกัดอยู่แค่เด็ก ๆ แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกวัยต้องการ ซึ่งมีการปรับตัวขยายกลุ่มเป้าหมาย
ทำให้บริษัทยังสามารถเติบโตได้แม้ในยุคที่เด็กเกิดน้อยก็ตาม
แต่ทั้งนี้ก็น่าคิดต่อว่า การเติบโตทั้งรายได้และกำไรอย่างก้าวกระโดดในไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้น
บริษัทจะยังสามารถยืนระยะการเติบโตต่อไปได้หรือไม่
หรือสุดท้ายอาจเป็นกระแสเพียงชั่วคราวเท่านั้น เหมือนกับหลาย ๆ ของเล่น ที่คนได้ลืมและเลิกสนใจไปแล้ว..