
Microsoft ทำลายตัวเอง จนมีมูลค่าล้านล้าน ด้วยโปรเจกต์ Red Dog
Microsoft ทำลายตัวเอง จนมีมูลค่าล้านล้าน ด้วยโปรเจกต์ Red Dog /โดย ลงทุนแมน
ถ้าเราเป็นเจ้าของบริษัท แล้วมีลูกน้องมาเสนอโมเดลธุรกิจใหม่ ที่อาจทำลายรายได้ 80% ของบริษัท เราจะยอมไหม
ถ้าเราเป็นเจ้าของบริษัท แล้วมีลูกน้องมาเสนอโมเดลธุรกิจใหม่ ที่อาจทำลายรายได้ 80% ของบริษัท เราจะยอมไหม
หลายคนคงบอกว่า ไม่ มันเสี่ยงเกินไปที่จะทำแบบนั้น
แต่ Microsoft เลือกเสี่ยงทำลายตัวเอง ซึ่งการตัดสินใจนั้นก็ถูกต้อง จนบริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายล้านล้านบาท
แต่ Microsoft เลือกเสี่ยงทำลายตัวเอง ซึ่งการตัดสินใจนั้นก็ถูกต้อง จนบริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายล้านล้านบาท
การตัดสินใจครั้งนั้น ถูกเรียกว่าโปรเจกต์ Red Dog
ที่เปลี่ยนให้ Microsoft ยิ่งใหญ่มาได้ถึงทุกวันนี้
ที่เปลี่ยนให้ Microsoft ยิ่งใหญ่มาได้ถึงทุกวันนี้
Microsoft กล้าทำลายตัวเองด้วยโปรเจกต์นี้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
เรารู้กันดีว่า Microsoft เกิดขึ้นมาได้ เพราะการสร้างระบบปฏิบัติการ Windows ให้กับคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ถึงทุกวันนี้
จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไม Microsoft ถึงเติบโตมาได้แบบก้าวกระโดดตั้งแต่ตอนก่อตั้ง เพราะเป็นตัวกลางให้คอมพิวเตอร์เกือบทุกเครื่องบนโลกสามารถทำงานได้
และต่อมาก็มีธุรกิจใหม่ที่เปลี่ยนโลกการทำงานไปตลอดกาล นั่นคือ Microsoft Office ที่ทำให้การทำงาน
บนคอมพิวเตอร์สะดวกมากยิ่งขึ้น
บนคอมพิวเตอร์สะดวกมากยิ่งขึ้น
ด้วยความสำเร็จต่าง ๆ Microsoft ก็คือเสือนอนกิน ที่นั่งรอเก็บเงินจากคนที่ต้องการใช้ระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม การนั่งนิ่ง ๆ รอรับเงินกลับกลายเป็นเซฟโซนให้ Microsoft ที่คอยฉุดรั้งให้บริษัทย่ำอยู่กับที่
ซึ่งจริง ๆ แล้ว ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะลองนึกภาพว่า
เรานั่งเก็บเงินเพื่อให้คนใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ จนสร้างรายได้ 80% ให้กับบริษัทมาเป็นเวลานานมาก
เรานั่งเก็บเงินเพื่อให้คนใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ จนสร้างรายได้ 80% ให้กับบริษัทมาเป็นเวลานานมาก
แต่ในโลกเทคโนโลยี เราจะย่ำอยู่กับที่ไม่ได้เลย เพราะคู่แข่งพร้อมกระโจนเข้ามาสู่ตลาด และขยายธุรกิจได้รวดเร็วแบบที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว
เริ่มตั้งแต่ระบบปฏิบัติการบนสมาร์ตโฟน แทนที่ Microsoft จะกระโจนเข้าตลาดนี้ แต่กลับปล่อยให้ Google
มาครองตลาดส่วนใหญ่ด้วยระบบ Android แทน
มาครองตลาดส่วนใหญ่ด้วยระบบ Android แทน
หรือแม้แต่โซเชียลมีเดียอย่าง MSN ที่บริษัทเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 1995 สุดท้ายก็โดนน้องใหม่อย่าง Facebook
ที่ก่อตั้งในปี 2004 แซงขึ้นไปจนได้รับความนิยมแทน
ที่ก่อตั้งในปี 2004 แซงขึ้นไปจนได้รับความนิยมแทน
ยังไม่รวมการโดน Amazon แซงนำหน้าด้วยการขายระบบคลาวด์จัดการและจัดเก็บข้อมูล ทั้งที่ Microsoft อยู่เบื้องหลังซอฟต์แวร์จัดการข้อมูลอย่าง Excel มานาน
เมื่อเริ่มโดนคุกคามจากคู่แข่งหลายทางมากขึ้น
ทีมออกแบบซอฟต์แวร์ของบริษัท จึงเริ่มตั้งคำถามว่า
จะเป็นไปได้ไหมที่ Microsoft จะไปอยู่บนอินเทอร์เน็ต
ทีมออกแบบซอฟต์แวร์ของบริษัท จึงเริ่มตั้งคำถามว่า
จะเป็นไปได้ไหมที่ Microsoft จะไปอยู่บนอินเทอร์เน็ต
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ถ้าไม่ได้เป็นซอฟต์แวร์บนคอมพิวเตอร์แค่อย่างเดียว ตระกูล Microsoft Office
จะไปอยู่บนอินเทอร์เน็ตได้หรือไม่
จะไปอยู่บนอินเทอร์เน็ตได้หรือไม่
คุณ Ray Ozzie หัวหน้าฝ่ายออกแบบซอฟต์แวร์ จึงลองไปเสนอไอเดียกับคุณ Steve Ballmer ซึ่งเป็น CEO ของ Microsoft คนที่สองต่อจากคุณ Bill Gates
คุณ Steve Ballmer เห็นว่าเป็นไอเดียที่บ้ามาก เพราะ
นี่เป็นการทำลายรายได้บริษัทเดิมที่ขายลิขสิทธิ์บนคอมพิวเตอร์ ซึ่งคิดเป็น 80% ของรายได้ในแต่ละปี
นี่เป็นการทำลายรายได้บริษัทเดิมที่ขายลิขสิทธิ์บนคอมพิวเตอร์ ซึ่งคิดเป็น 80% ของรายได้ในแต่ละปี
แต่สุดท้าย เขาก็ยอมให้เกิดไอเดียนี้ขึ้น แม้ว่าจะต้องเสี่ยงกับอนาคตของบริษัทก็ตามด้วยโปรเจกต์ที่ชื่อว่า Red Dog
Red Dog เริ่มต้นโปรเจกต์ทำลาย Microsoft ในปี 2008
ด้วยการสร้างให้ซอฟต์แวร์ของบริษัท สามารถทำงานบนสิ่งที่เรียกว่าคลาวด์ได้
ด้วยการสร้างให้ซอฟต์แวร์ของบริษัท สามารถทำงานบนสิ่งที่เรียกว่าคลาวด์ได้
คลาวด์ เป็นนวัตกรรมของโลกเทคโนโลยี ที่ทำให้เราสามารถทำอะไรทุกอย่างก็ได้ขอแค่มีอินเทอร์เน็ต โดยไม่มีข้อจำกัดของพื้นที่ของอุปกรณ์ที่เราใช้งานอยู่อีกต่อไป
แต่โปรเจกต์นี้ล้มลุกคลุกคลานอยู่นาน จนได้คุณ Satya Nadella ซึ่งเป็น CEO คนที่สามต่อจากคุณ Steve Ballmer มาช่วยดูแลและจัดการให้เกิดขึ้นได้จริงมากขึ้น
จนสุดท้ายก็เป็นซอฟต์แวร์ใหม่อย่าง Windows Azure
ที่เน้นเจาะตลาดนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในช่วงแรก
ที่เน้นเจาะตลาดนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในช่วงแรก
ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น Microsoft Azure ในปี 2012
เพื่อเปลี่ยนภาพจำกับลูกค้าบริษัทว่า สามารถใช้งานได้บนทุกระบบปฏิบัติการ ไม่ใช่แค่ Windows อย่างเดียว
เพื่อเปลี่ยนภาพจำกับลูกค้าบริษัทว่า สามารถใช้งานได้บนทุกระบบปฏิบัติการ ไม่ใช่แค่ Windows อย่างเดียว
ซึ่งปัจจุบัน Microsoft Azure ก็ได้เป็นเครื่องจักรทำเงิน
ให้บริษัทมหาศาล โดยอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่เรียกว่า Intelligent Cloud ที่เติบโตต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
ให้บริษัทมหาศาล โดยอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่เรียกว่า Intelligent Cloud ที่เติบโตต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
- ปี 2022 รายได้ 2,437,000 ล้านบาท
- ปี 2023 รายได้ 2,858,000 ล้านบาท
- ปี 2024 รายได้ 3,425,000 ล้านบาท
- ปี 2023 รายได้ 2,858,000 ล้านบาท
- ปี 2024 รายได้ 3,425,000 ล้านบาท
และไม่ใช่เป็นแค่ระบบคลาวด์ในการจัดการหรือจัดเก็บข้อมูลเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญให้ Microsoft เปลี่ยนโมเดลธุรกิจเป็นแบบ Subscription ได้อีกด้วย
โดยเฉพาะชุดโปรแกรมอย่าง Microsoft Office ต่าง ๆ
ก็ถูกเปลี่ยนโมเดลให้จ่ายแบบรายเดือนตามการใช้งาน
ซึ่งเบื้องหลังของโมเดลใหม่นี้ก็คือระบบคลาวด์นั่นเอง
ก็ถูกเปลี่ยนโมเดลให้จ่ายแบบรายเดือนตามการใช้งาน
ซึ่งเบื้องหลังของโมเดลใหม่นี้ก็คือระบบคลาวด์นั่นเอง
ก็ถือว่า ต้องขอบคุณโปรเจกต์ Red Dog ในวันนั้น
ที่ทำให้ Microsoft ซึ่งสุ่มเสี่ยงจะทำลายตัวเอง ได้ผลตอบแทนที่ออกมาคุ้มค่ากับการเสี่ยงมาก
ที่ทำให้ Microsoft ซึ่งสุ่มเสี่ยงจะทำลายตัวเอง ได้ผลตอบแทนที่ออกมาคุ้มค่ากับการเสี่ยงมาก
ซึ่งไม่ใช่เป็นบทเรียนให้กับคนทำธุรกิจเท่านั้น แต่ยังให้บทเรียนกับคนทั่วไปได้อย่างดีว่า คงไม่มีใครเติบโตขึ้น ถ้าเลือกทำอยู่แค่ในเซฟโซนของตัวเอง
แม้การทำเรื่องยากในชีวิต จะเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ แต่ชีวิตที่ไม่สบายนี่แหละ คือชีวิตที่เรากำลังเติบโตดีขึ้นทุกวัน ๆ โดยที่เราอาจไม่รู้ตัว..