
Meta ชนะคดี ไม่ต้องขาย Instagram และ WhatsApp หลังศาลตัดสินว่า Meta ไม่ได้ผูกขาดโซเชียลมีเดีย
Meta บริษัทแม่ของ Facebook ชนะคดีความ ที่คณะกรรมาธิการการค้าสหรัฐ (FTC) ได้ยื่นฟ้องศาล และต้องการบังคับให้ Meta ปรับโครงสร้าง หรือขาย Instagram และ WhatsApp ออกไป
เพราะมองว่า Meta ใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซื้อกิจการเพื่อตัดคู่แข่งหน้าใหม่ออกจากตลาด เป็นการใช้อำนาจเหนือตลาด
โดยผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลาง ตัดสินว่า Meta ไม่ได้ผูกขาดโซเชียลมีเดีย ตามที่ FTC กล่าวหา
คำตัดสินนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ครั้งแรกของ Big Tech ต่อแนวทางกดดันด้านการผูกขาด และถือเป็นความพ่ายแพ้สำคัญของ FTC ซึ่งกำลังเดินหน้าฟ้อง Amazon อยู่ในอีกคดีหนึ่ง
โฆษกของ Meta ระบุว่า
“ผลิตภัณฑ์ของเราเป็นประโยชน์ต่อผู้คนและธุรกิจต่าง ๆ และสะท้อนถึงนวัตกรรมของอเมริกา รวมถึงช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เราหวังว่าจะสานต่อความร่วมมือกับรัฐบาล และลงทุนในอเมริกาต่อไป”
“ผลิตภัณฑ์ของเราเป็นประโยชน์ต่อผู้คนและธุรกิจต่าง ๆ และสะท้อนถึงนวัตกรรมของอเมริกา รวมถึงช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เราหวังว่าจะสานต่อความร่วมมือกับรัฐบาล และลงทุนในอเมริกาต่อไป”
ด้านโฆษก FTC กล่าวว่า
“เราผิดหวังอย่างยิ่งกับคำตัดสินนี้ และกำลังทบทวนตัวเลือกทั้งหมด”
“เราผิดหวังอย่างยิ่งกับคำตัดสินนี้ และกำลังทบทวนตัวเลือกทั้งหมด”
ทั้งนี้ Meta ซื้อ Instagram ในปี 2012 และ WhatsApp ในปี 2014
ตอนนั้น FTC ไม่ได้คัดค้าน แต่ในปี 2020 FTC ยื่นฟ้อง โดยอ้างว่า Facebook ผูกขาดตลาดแพลตฟอร์มแชร์คอนเทนต์สำหรับผู้ใช้ในสหรัฐฯ
ตอนนั้น FTC ไม่ได้คัดค้าน แต่ในปี 2020 FTC ยื่นฟ้อง โดยอ้างว่า Facebook ผูกขาดตลาดแพลตฟอร์มแชร์คอนเทนต์สำหรับผู้ใช้ในสหรัฐฯ
ในคดีความเมื่อเดือนเมษายน FTC ชี้ไปที่หลักฐานภายในของ Meta เช่น อีเมลปี 2008 ที่ Mark Zuckerberg เคยเขียนว่า
“ซื้อดีกว่าแข่ง” (It is better to buy than compete)
“ซื้อดีกว่าแข่ง” (It is better to buy than compete)
ฝั่ง Meta โต้ว่า FTC “มองข้ามการแข่งขันจริง” จาก TikTok ของ ByteDance, YouTube ของ Google และบริการส่งข้อความของ Apple
Meta ยังยืนยันว่าการซื้อบริษัทที่มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ ดีกว่าการสร้างเอง เป็นกลยุทธ์ธุรกิจที่ถูกต้อง
ผู้พิพากษา James Boasberg ในกรุงวอชิงตัน เห็นด้วยกับ Meta เป็นส่วนใหญ่ โดยชี้ว่าโลกโซเชียลมีเดียปัจจุบัน “ไม่เหมือนสมัย Facebook ยุคอัปเดตสถานะส่วนตัวอีกต่อไป”
“ภูมิทัศน์เมื่อ 5 ปีก่อน ตอน FTC ฟ้อง ไม่เหมือนในวันนี้แล้ว”
พร้อมชี้หลักฐานว่า ผู้ใช้มักสลับระหว่าง YouTube, TikTok และแอปของ Meta เวลาที่แพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งล่ม
ผู้พิพากษายังกล่าวว่า TikTok เป็นภัยคุกคามที่รุนแรงมากถึงขั้นทำให้ Meta ต้องใช้เงิน 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว เพื่อพัฒนา Reels มาแข่งขัน
Boasberg ระบุอีกว่า FTC ทำผิดที่ “ไม่นับ YouTube และ TikTok” เป็นส่วนหนึ่งของตลาดที่ Meta ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ผูกขาด
“แม้ไม่นับ YouTube แต่แค่ TikTok เจ้าเดียว ก็พอจะทำให้คดีของ FTC ล้มได้แล้ว”
ขณะที่ FTC ตอบโต้ว่า
“เราถูกจัดฉากให้เสียเปรียบตั้งแต่แรกกับผู้พิพากษา Boasberg ซึ่งตอนนี้กำลังถูกยื่นถอดถอนจากตำแหน่ง”
“เราถูกจัดฉากให้เสียเปรียบตั้งแต่แรกกับผู้พิพากษา Boasberg ซึ่งตอนนี้กำลังถูกยื่นถอดถอนจากตำแหน่ง”
ทั้งนี้คดีของ Meta เป็นส่วนหนึ่งของ “การกวาดล้าง Big Tech” ของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยนอกจาก Meta ยังมีคดีต่อ Google และ Apple อยู่ด้วย