โดยเขาได้โพสต์วิดีโอเล่าถึงทิศทางใหม่ที่บริษัท Meta จะมุ่งเน้นต่อจากนี้ คือการพัฒนา Personal Superintelligence สำหรับทุกคน เพื่อช่วยให้ผู้คนมีเวลาและทรัพยากร ในการแสวงหาความคิดสร้างสรรค์ และกิจกรรมเพื่อความสุขมากขึ้น

หลังจากในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา Meta ใช้งบมหาศาลไปกับการจ้างนักวิจัยและวิศวกร AI ชั้นนำจาก Anthropic, OpenAI, Google รวมถึง CEO ของ Scale AI ให้มาร่วมทีม

เพื่อสร้างหน่วยธุรกิจใหม่ชื่อว่า Meta Superintelligence Labs ซึ่งจะทำงานวิจัยเกี่ยวกับโมเดลปัญญาประดิษฐ์พื้นฐาน (Foundation Models) เช่น Llama และโปรเจกต์ AI ต่าง ๆ

สำหรับวิสัยทัศน์ของมาร์ก ต่อแนวคิด Personal Superintelligence นั้น เขาบอกว่า

“AI กำลังเร่งพัฒนาอย่างรวดเร็ว และในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เราเริ่มเห็น AI ที่สามารถพัฒนาตัวเองได้แล้ว ดังนั้นการสร้าง Superintelligence ก็ใกล้เข้ามา.. แต่คำถามใหญ่คือ เราควรจะนำ Superintelligence ไปใช้กับอะไร ?”

แม้จะมีการพูดถึงประโยชน์ด้านวิทยาศาสตร์และเศรษฐกิจของ AI มากมาย แต่สิ่งที่เขามองว่ามีความหมายยิ่งกว่าคือ “การที่ทุกคนมี AI ส่วนตัว ที่ช่วยให้คุณทำเป้าหมายในชีวิตให้สำเร็จ สร้างสิ่งที่คุณอยากเห็นในโลกนี้ เป็นเพื่อนที่ดีขึ้น และเติบโตเป็นคนที่คุณอยากจะเป็นได้จริง ๆ

“วิสัยทัศน์ของเราที่ Meta นั้นแตกต่างจากคนอื่น ๆ ในอุตสาหกรรม ที่เน้นใช้ AI เพื่อแทนที่การทำงานทั้งหมด
เราอยากให้พลังของ Superintelligence อยู่ในมือของทุกคน และนำไปใช้กับสิ่งที่แต่ละคนให้คุณค่าจริง ๆ”

เขายังพูดต่อว่า แม้บางส่วนของ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่จุดสำคัญจะอยู่ที่การนำไปใช้ในด้านส่วนบุคคล เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การเติบโตของตัวตน และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์

“เมื่อ 200 ปีก่อน 90% ของประชากรต้องทำเกษตรเพื่อความอยู่รอด แต่วันนี้ไม่ถึง 2% ที่ผลิตอาหารให้ทั้งโลกได้ เพราะเทคโนโลยีปลดปล่อยมนุษย์จากความจำเป็นพื้นฐาน และทำให้มีเวลาทำสิ่งที่เราเลือกมากขึ้น.. ผมเชื่อว่า Superintelligence จะเร่งแนวโน้มนี้ยิ่งขึ้นไปอีก”

มาร์ก ได้ทิ้งท้ายด้วยความเชื่อมั่นว่าในอนาคต
-เวลาในการใช้ Productivity Software จะน้อยลง
-เวลาที่คนจะใช้ไปกับการสร้างสรรค์และการเชื่อมต่อกันจะมากขึ้น
-อุปกรณ์ AI ส่วนบุคคล เช่น แว่นตาอัจฉริยะ (AI Smart Glasses) จะกลายเป็นเครื่องมือคอมพิวเตอร์หลักของมนุษย์

“ผมเชื่ออย่างลึกซึ้งในแนวคิด Personal Superintelligence และ Meta มีทรัพยากรที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และนำเทคโนโลยีนี้สู่คนหลายพันล้านคน
ผมตื่นเต้นกับอนาคตที่เรากำลังสร้าง และยังมีอีกมากที่จะเปิดเผยเร็ว ๆ นี้”