JR East และ Kawasaki กระดูกสันหลัง การเดินทางของคนญี่ปุ่น

JR East และ Kawasaki กระดูกสันหลัง การเดินทางของคนญี่ปุ่น

JR East และ Kawasaki กระดูกสันหลัง การเดินทางของคนญี่ปุ่น /โดย ลงทุนแมน
ใครที่เคยเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น คงเคยเห็นว่า แทบทุกพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่นนั้น ทั้งบนดิน ใต้ดิน ในเมือง นอกเมือง เชื่อมกันแบบแทบจะไร้รอยต่อ
ซึ่งเบื้องหลังกระดูกสันหลังของแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้ มี 2 บริษัท ที่เป็นกำลังสำคัญ ที่คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน
นั่นก็คือ JR East เจ้าของเส้นทางรถไฟสายสำคัญหลายเส้นทาง และ Kawasaki ผู้ที่ได้รับฉายา “ราชาแห่งรถมอเตอร์ไซค์”
ลงทุนแมนจะพาไปรู้จักกับทั้ง 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ แบบเจาะลึก รวมถึงบทบาทของทั้งคู่ ที่จะช่วยฟื้นคืนเศรษฐกิจญี่ปุ่นในอนาคตข้างหน้านี้
หากพูดถึงการเดินทางเชื่อมต่อแต่ละเมืองในญี่ปุ่นนั้น ภาพของรถไฟความเร็วสูง (High Speed Train) คงผุดขึ้นมาในหัวของหลาย ๆ คน
โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังระบบรถไฟเหล่านี้ ก็คือ JR Group ซึ่งมีจุดเริ่มต้นในปี 1949 หรือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงไม่กี่ปี
Japanese National Railways หรือ JNR หน่วยงานด้านรถไฟที่ก่อตั้งโดยรัฐบาลญี่ปุ่น ได้ขยายเส้นทางเดินรถไฟจำนวนมาก เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต
อย่างไรก็ตาม JNR กลับต้องประสบกับภาวะขาดทุน ในปี 1964 และมีหนี้สะสมถึง 9.7 ล้านล้านบาท ในปี 1987
จนในที่สุด รัฐบาลญี่ปุ่นจึงตัดสินใจปฏิรูป JNR ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ สู่ JR Group บริษัทรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
โดยมีบริษัทลูก 6 บริษัท ทำหน้าที่เดินรถไฟในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วญี่ปุ่น และ 1 บริษัท ที่ดูแลด้านการขนส่ง
ซึ่งรถไฟที่มีระยะทางการให้บริการ และจำนวนผู้โดยสารมากที่สุด ก็คือ JR East นั่นเอง
และสถานีชินจูกุ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานีของ JR East ก็ครองแชมป์สถานีรถไฟที่มีผู้ใช้บริการ มากที่สุดในโลก
โดย JR East มีโครงข่ายการบริการหลัก ๆ อยู่ 3 พื้นที่ ครอบคลุมทั้งตอนกลางและตอนเหนือ ของเกาะฮนชู ได้แก่
- มหานครโตเกียว
- โทโฮกุ
- นีงาตะ-นางาโนะ
ผู้ใช้บริการ JR East ก็มีทั้งคนทำงาน นักเรียน ไปจนถึงนักท่องเที่ยว
อีกหนึ่งจุดเด่นของรถไฟญี่ปุ่นนั้น คือชื่อเสียงเรื่องการตรงต่อเวลา ซึ่งหัวใจสำคัญของความตรงต่อเวลานี้ มาจากกระบวนการต่าง ๆ ที่เรียกได้ว่า “เป๊ะ” มาก
เริ่มตั้งแต่การถ่ายโอนผู้โดยสารออกจากรถไฟ ภายใน 2 นาทีแรก หลังรถไฟเข้าสู่ชานชาลา
หลังจากนั้น จะเข้าสู่กระบวนการทำความสะอาด 7 นาที หรือที่เรียกว่า The Seven-Minute Miracle
โดยในกระบวนการนี้จะประกอบไปด้วยขั้นตอนเก็บขยะ หมุนเก้าอี้ ดูดฝุ่น ทำความสะอาดภายในรถไฟ โดยจะมีพนักงานทำความสะอาด 1 คนต่อตู้รถไฟ
หลังจากนั้น จะมีเวลา 3 นาที เพื่อต้อนรับผู้โดยสารกลุ่มใหม่
ทั้งหมดนี้มาจาก Mindset ที่ถูกปลูกฝังอยู่ในพนักงาน JR ทุกคน นั่นก็คือ “ปลอดภัย” และ “ตรงต่อเวลา”
แล้ว JR East จะมีกลยุทธ์การเติบโตอย่างไร ?
คุณ Katsunori Ogawa ผู้จัดการกองทุนจาก Sumitomo Mitsui และหนึ่งในผู้ใช้งาน JR East มองว่า JR East ยังมีศักยภาพในการเติบโตที่สูงมาก
โดยธุรกิจด้านการเดินทาง ก็ยังคงมีช่องว่างให้สามารถขึ้นราคาค่าโดยสารได้
ขณะที่ธุรกิจอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ด้านการเดินทาง เช่น ค้าปลีกและโรงแรม อาจเน้นเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ของผู้คนมากขึ้น
โดยหนึ่งในตัวอย่างค้าปลีกที่น่าสนใจคือ ร้านขายข้าวกล่องสำหรับกินบนรถไฟ (Ekibenya Matsuri) ซึ่งขายอาหารที่ทำมาจากวัตถุดิบจากจังหวัดต่าง ๆ
นับเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดต่าง ๆ ในญี่ปุ่น และโปรโมตการท่องเที่ยวของจังหวัดนั้น ๆ ไปในตัวอีกด้วย
อีกตัวอย่างคือ The Tokyo Station Hotel ซึ่งเป็นโรงแรม 4 ดาว ขนาด 150 ห้อง ที่อยู่ภายในสถานีโตเกียว
โดยโรงแรมแห่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการใช้พื้นที่ใกล้สถานีรถไฟ ให้เกิดมูลค่าได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ JR East ยังออกบัตร Suica ใช้สำหรับขึ้นรถไฟฟ้า รวมถึงซื้อสินค้าและบริการจากห้างร้านต่าง ๆ ทำให้บริษัทมีข้อมูลการจับจ่ายของลูกค้า มาต่อยอดในการทำธุรกิจอีกด้วย
สำหรับสัดส่วนรายได้ของ JR East
- 67% การขนส่ง
- 15% อสังหาริมทรัพย์และโรงแรม
- 14% ค้าปลีกและบริการ
- 4% อื่น ๆ
ในปี 2024 ที่ผ่านมา JR East มี
- รายได้ 635,708 ล้านบาท
- กำไร 49,377 ล้านบาท
ซึ่งถือเป็นผู้ให้บริการเดินรถ ที่มีกำไรมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว
และนี่คือเรื่องราวของ JR East หนึ่งในบริษัทลูกของ JR Group ผู้เดินรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
แล้วสงสัยไหมว่า ใครเป็นผู้สร้างรถไฟความเร็วสูง ?
คำตอบคือ.. Kawasaki
หลายคนอาจรู้จัก Kawasaki ในฐานะผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์
แต่จริง ๆ แล้ว นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 1878
Kawasaki ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเครื่องยนต์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหนักทั้งอู่ต่อเรือ เครื่องบิน และรถไฟ
โดยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง Kawasaki ได้นำ Know-how จากการผลิตเครื่องยนต์ มาใช้ในการผลิตรถมอเตอร์ไซค์จนได้รับฉายา “King of Motorcycles”
อย่างไรก็ตาม Kawasaki ไม่ได้หยุดอยู่แค่เพียงรถมอเตอร์ไซค์เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของญี่ปุ่นก็ว่าได้ อาทิ พลังงานไฮโดรเจน, รถไฟความเร็วสูงชิงกันเซ็น
คุณ Morihiro Ikoma ผู้จัดการอาวุโสของ Kawasaki Motors ได้เล่าว่า ธุรกิจรถมอเตอร์ไซค์ของ Kawasaki เริ่มต้นในช่วงปี 1950 หรือราว ๆ 75 ปีก่อน และได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน
และในปี 2024 ที่ผ่านมา Kawasaki มียอดขายรถมอเตอร์ไซค์อยู่ที่ 500,000-550,000 คัน
ขณะที่มีรายได้จากธุรกิจนี้ราว 132,093 ล้านบาท
ซึ่งบริษัทตั้งเป้าไว้ว่า ในปี 2030 จะเพิ่มรายได้ให้แตะ 1 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 220,155 ล้านบาท
โดยในตอนนี้ Kawasaki ได้มีการปล่อยรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า และรถมอเตอร์ไซค์ไฮบริด ออกสู่ตลาดแล้ว
ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
ส่วนรถมอเตอร์ไซค์ไฮโดรเจน อยู่ระหว่างการพัฒนา
ขณะที่ธุรกิจรถมอเตอร์ไซค์กำลังเติบโต
แล้วธุรกิจอื่น ๆ ของ Kawasaki Heavy Industries เป็นอย่างไรบ้าง ?
คุณ Hiroyuki Katsuno ผู้จัดการอาวุโสของ Kawasaki Heavy Industries เปิดเผยว่า หลังจากวิกฤติโควิดสิ้นสุดลง ธุรกิจเครื่องบินของ Kawasaki ก็เริ่มฟื้นตัวและเติบโตทั้งในแง่ของยอดขายและกำไร
- ธุรกิจโซลูชันด้านพลังงานและวิศวกรรมทางทะเล ซึ่งประกอบไปด้วยธุรกิจต่อเรือ และธุรกิจกังหันก๊าซ ก็มีการปรับปรุงให้มีกำไรมากขึ้น
- ธุรกิจหุ่นยนต์และอุปกรณ์ไฮดรอลิก ก็จะมีการปรับปรุงตามภาวะตลาด และความต้องการในต่างประเทศในอนาคต
- ธุรกิจรถไฟ ก็เริ่มกลับมาเติบโตอีกครั้ง
บริษัทตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2030 จะเพิ่มรายได้ให้แตะ 3 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 660,464 ล้านบาท
สำหรับกลยุทธ์การเติบโตนั้น ส่วนแรกบริษัทจะพยายามโฟกัสไปที่ธุรกิจการบิน
Kawasaki ถือเป็นหนึ่งในซัปพลายเออร์ของ Boeing ซึ่งยอดขายเครื่องบินโดยสารกำลังเติบโต เช่นเดียวกับเครื่องบินสำหรับกองทัพญี่ปุ่น
ส่วนที่สองจะเป็นธุรกิจรถมอเตอร์ไซค์ ที่มีการลงทุนวิจัยและพัฒนา รถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้พลังงานทางเลือก ออกมามากขึ้น
และส่วนที่สามจะเป็นธุรกิจหุ่นยนต์ (Robotics) และส่วนสุดท้ายก็คือกังหันก๊าซ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
สำหรับสัดส่วนรายได้ของ Kawasaki Heavy Industries
- 28.6% เครื่องยนต์และกีฬายานยนต์
- 26.7% ระบบอากาศยาน
- 18.7% วิศวกรรมทางทะเลและโซลูชันพลังงาน
- 11.3% เครื่องจักรกลความแม่นยำและหุ่นยนต์
- 10.4% รถไฟและขบวนรถ
- 4.2% อื่น ๆ
โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา Kawasaki Heavy Industries มี
- รายได้ 468,780 ล้านบาท
- กำไร 19,374 ล้านบาท
ถึงตรงนี้เราก็คงเห็นแล้วว่า แม้ทั้ง JR East และ Kawasaki จะเป็นธุรกิจที่หลายคนคุ้นเคย แต่ก็ยังมีการเติบโตแฝงไว้ในหลายมิติ รวมถึงมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลัง..

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon