กรณีศึกษา Chris Camillo ปั้นพอร์ตโต 250 เท่า ด้วยการหาหุ้นผ่านโซเชียล /โดย ลงทุนแมน
รู้หรือไม่ว่า เราสามารถหาหุ้นเพื่อลงทุน โดยติดตามกระแสในโซเชียลมีเดีย และคอยสังเกตว่าในช่วงนั้น คนกำลังนิยมซื้อหรือใช้อะไรกัน
ซึ่งวิธีนี้อาจทำให้เราได้ผลตอบแทนที่ดี และสามารถชนะตลาดหลายเท่าตัว ตัวอย่างเช่น

- Netflix แพลตฟอร์มดูหนัง ที่หากเราลงทุนหลัง Stranger Things 1 ฉายไป 2 เดือน ก็ยังได้กำไรเกือบเท่าตัว ภายในปีเดียว
- Pop Mart เจ้าของกล่องสุ่ม ที่หากเราลงทุนเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ซึ่งกำลังฮิตในไทย ยังได้กำไรถึง 3 เด้ง
- Roblox แพลตฟอร์มเกม ที่เราเริ่มเห็นสตรีมเมอร์เล่นกัน นับตั้งแต่ต้นปีราคาก็ +127.86%

ซึ่งชายที่ชื่อว่า Chris Camillo คือคนที่ตามดูกระแสโซเชียลมีเดียตลอดเวลา ทั้งใน TikTok, X (Twitter) และ Instagram แล้วลงทุนตาม จนสามารถปั้นพอร์ตจาก 2.7 ล้านบาท เป็น 680 ล้านบาท ภายใน 14 ปี หรือคิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ย 48% ต่อปี

ที่น่าสนใจคือ ไม่มีการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและเทคนิเกิลใด ๆ เลย รวมถึงไม่มีการตั้งจุดขาดทุนด้วย

เขาใช้โซเชียลมีเดียในการหาโอกาสการลงทุนอย่างไร และมีวิธีการลงทุนแบบไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

Chris Camillo ได้แรงบันดาลใจในการหาโอกาสการลงทุนจากสินค้าและบริการที่ผู้คนใช้ในชีวิตประจำวัน จากการอ่านหนังสือการลงทุนเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “One Up On Wall Street” ของ Peter Lynch

แต่สิ่งที่แตกต่างคือ เขาไม่เพียงแค่หาหุ้นจากรอบตัวเท่านั้น แต่ดูกระแสในโซเชียลมีเดียด้วยว่า ผู้คนกำลังอินกับอะไรอยู่

อย่างปี 2022 Crocs ได้ซื้อ HEYDUDE แบรนด์รองเท้าที่เน้นน้ำหนักเบาและราคาถูก แต่รูปลักษณ์ไม่สวยงาม

ตอนนั้นนักวิเคราะห์ Wall Street มองว่า การซื้อกิจการครั้งนี้ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจเท่าไรนัก แต่ Chris Camillo กลับไม่มองอย่างนั้น เพราะที่ผ่านมา HEYDUDE มีศักยภาพในการเติบโต ลูกค้าถูกใจ แต่ที่ผ่านมาแบรนด์นี้มีข้อจำกัดตรงที่มีช่องทางการจัดจำหน่ายไม่เพียงพอ

ซึ่งหลังจาก HEYDUDE อยู่ภายใต้ Crocs ก็น่าจะแก้ปัญหานี้ได้

ทำให้เขาสำรวจตลาดว่า สถานการณ์เป็นอย่างไร ด้วยการเข้าไปดู TikTok และอ่านคอมเมนต์ ก็พบว่า ได้การตอบรับที่ดีจากคนมากมาย บางคนบอกว่า ตัวเองซื้อหลายคู่เลยด้วยซ้ำ

ช่วงที่ตลาดยังไม่เห็นคุณค่าของการซื้อกิจการ หุ้น Crocs ได้ร่วงจากจุดสูงสุด 180 ดอลลาร์สหรัฐ เหลือเพียง 50 ดอลลาร์สหรัฐ แต่หลังจากเขาประเมินและเข้าซื้อ 4 เดือนต่อมาราคาหุ้นก็ดีดกลับมาที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐ

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ e.l.f. Beauty แบรนด์เครื่องสำอาง ที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 100% โดยใช้เวลาไม่ถึง 1 ปี Chris Camillo ก็เห็นโอกาสการลงทุนจากที่ผู้คนในโซเชียลมีเดียพูดถึงแบรนด์นี้กันมาก

และไปสืบสาวต่อก็พบกับต้นตอว่า มาจาก YouTuber สาวชื่อดังคนหนึ่งได้รีวิวไว้

โดยเธอได้เทียบ e.l.f. Beauty กับแบรนด์อื่นว่า นอกจากคุณสมบัติที่ดีเหมือนกันแล้ว ราคายังถูกกว่ามากอีกด้วย ส่งผลให้ผู้คนเริ่มเปิดใจ และยอดขายก็เติบโตอย่างรวดเร็วในที่สุด

ปัจจุบันราคาหุ้น e.l.f. Beauty อยู่ที่ประมาณ 135.91 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ Chris Camillo เจอโอกาสนี้ตั้งแต่ที่ราคา 8 ดอลลาร์สหรัฐ

ตัวอย่างรายชื่อหุ้นอื่น ๆ ที่ Chris Camillo เจอโอกาสการลงทุนจากการติดตามกระแสในโซเชียลมีเดีย

- Mattel บริษัทของเล่นอย่าง Barbie ที่ได้รับความนิยมจากกระแสภาพยนตร์เรื่อง Barbie
- Celsius เครื่องดื่มชูกำลัง ที่คน Gen Z โพสต์ลง TikTok ว่าเลือกให้เป็นเครื่องดื่มที่ต้องดื่มทุกเช้า
- Deckers Outdoor เจ้าของแบรนด์รองเท้า UGG ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
- Under Armour ที่โดดเด่นจากกระแสในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับ ColdGear ชุดชั้นในของแบรนด์ที่ออกแบบให้อบอุ่น ในช่วงฤดูหนาว

แต่นอกจากการนำโซเชียลมีเดียมาประยุกต์ใช้ในการลงทุนขาขึ้นได้แล้ว Chris Camillo ยังสามารถทำกำไรจากช่วงขาลงได้อีกด้วย

อย่างเหตุการณ์ที่ Chipotle ร้านอาหารเม็กซิโก เผชิญปัญหาเรื่องวิกฤติโรค E. coli ที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง ในช่วงปี 2015

ช่วงแรกตลาดคิดว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้ส่งผลต่อชื่อเสียงแบรนด์ของ Chipotle มากนัก และไม่ได้ส่งผลกระทบในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม Chris Camillo คิดว่า เกิดผลกระทบมากกว่าที่หลายคนคาด เพราะจำนวนคำที่ผู้คนทวีตถึงชื่อร้านนั้นลดลงถึง 50% หรืออีกความหมายหนึ่งคือ คนไม่ได้นิยมแบรนด์ร้านนี้แล้ว จากแต่เดิมที่ต้องต่อคิวนานกว่าจะได้กิน

ทำให้เขาซื้อ Put Options เครื่องมือทางการเงินที่จะทำกำไรหากราคาหุ้นลดลง

ซึ่งผลลัพธ์ก็เป็นแบบนั้นจริง ทำให้ราคาหุ้นจาก 14 ดอลลาร์สหรัฐ ร่วงลงเรื่อย ๆ จนต่ำกว่า 6 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับมาที่ราคาเดิมก็อีก 4 ปีถัดมาเลย

แต่สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดคือ กระบวนการเลือกลงทุนของ Chris Camillo เป็นอย่างไร

เริ่มแรกเมื่อค้นพบข้อมูลบางอย่างที่น่าตื่นเต้น เช่น อยู่ ๆ คนในโซเชียลมีเดียก็พูดถึงสินค้าใดสินค้าหนึ่งกันเยอะ หรือมีคนลงคลิปรีวิวสินค้าแล้วมีคอมเมนต์ด้านบวกมาก ๆ

เขาจะทำการบ้านและวิเคราะห์ต่อว่า สิ่งนี้มีผลกระทบต่อธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่
และในเชิงบวกหรือเชิงลบต่อราคาหุ้น

ถ้าคำตอบคือ เหตุการณ์นั้นส่งผลกระทบต่อธุรกิจจริง ก็จะไปสู่ขั้นตอนต่อไปอย่าง การเช็กว่า นักลงทุนในตลาด รับรู้ข้อมูลนี้แล้วหรือยัง

เพราะหากตลาดรับรู้ข้อมูลไปแล้ว โอกาสในการทำกำไรก็จะน้อยลง จากการที่ราคาหุ้นได้สะท้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้ว

โดยวิธีตรวจสอบคือ การอ่านวารสาร บล็อก บทความในอินเทอร์เน็ต หรือข้อมูลสาธารณะอื่น ๆ ว่ามีการพูดถึงเหตุการณ์นั้นไปหรือยัง

ทั้งนี้ Chris Camillo จะศึกษาด้วยว่าหุ้นตัวนั้นกำลังเจอกับปัจจัยอื่น ๆ ด้วยหรือไม่ ที่สามารถส่งผลกระทบต่อหุ้นได้มากกว่าข้อมูลที่ตัวเองพบ เช่น บริษัทกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนทีมบริหาร หรือมีคดีฟ้องร้อง

ถ้าหุ้นผ่านทั้ง 2 เกณฑ์ ก็จะถึงขั้นตอนสุดท้ายคือ ระยะเวลาในการลงทุน

ถ้าเป็นการลงทุนในหุ้น เขาจะขายออกเมื่อตลาดรับรู้และพูดถึงเหตุผลที่เขาใช้ในการลงทุน เพราะราคาหุ้นจะอยู่ในจุดที่รวมข้อมูลนั้นไว้แล้ว หรือก็คือ ราคาหุ้นอาจขึ้นมาจนเต็มมูลค่าแล้ว

ส่วนการใช้ Options จะเลือกวันหมดสิทธิที่เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และเป็นช่วงที่ข้อมูลที่คาดการณ์ไว้เป็นที่พูดถึงในตลาดแล้ว เพื่อให้ได้ราคาออปชันที่ต่ำ เช่น สุดสัปดาห์ที่เปิดตัวภาพยนตร์ สำหรับหุ้นค่ายหนัง หรือวันประกาศผลประกอบการแต่ละไตรมาส

จากเรื่องราวทั้งหมด ก็คงพอสรุปได้ว่า เราไม่จำเป็นต้องมีวิธีการลงทุนเหมือนนักลงทุนระดับโลก หรือมีหุ้นตัวเดียวกับคนอื่น ๆ ก็สามารถทำผลตอบแทนมหาศาลได้เช่นกัน

เพียงแต่เราต้องรู้ว่า การลงทุนแบบไหนที่เหมาะสมกับเรา และเป็นจุดสร้างความได้เปรียบ อย่างเช่น Chris Camillo ที่แม้จะได้แรงบันดาลใจจาก Peter Lynch แต่ก็ต่อยอดจนได้วิธีการลงทุนด้วยการติดตามกระแสในโซเชียลมีเดีย ที่เข้ากับสไตล์ของตัวเอง จนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 250 เท่า ไม่แพ้นักลงทุนชื่อดังรายอื่น ๆ เลย..

References
-หนังสือ Unknown Market Wizards: The best traders you've never heard of เขียนโดย Jack D. Schwager
-https://www.ebc.com/forex/how-does-this-trader-use-a-new-investment-method-to-turn-20000-into-21-million
-https://finimize.com/content/peter-lynch-chris-camillo-and-the-smart-investing-move-you-can-make-now
-https://www.youtube.com/watch?v=9PSuPnd_1VY