B.GRIMM x ลงทุนแมน

- เปิดร้านผลิตยายุโรปแห่งแรกของประเทศไทย
- การขุดคลองรังสิตที่ยาวถึง 1,500 กิโลเมตร ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์
- การติดตั้งวิทยุไร้สาย จนกลายเป็นที่มาของชื่อถนนวิทยุ
- ติดตั้งระบบโทรศัพท์ทางไกลครั้งแรก ระหว่างเยอรมนีและสยาม
- ก่อสร้างรถไฟฟ้าสายแรก ทั้ง BTS, MRT และ Airport Link

รู้ไหมว่า การบุกเบิกครั้งสำคัญของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นมาจากบริษัทเดียวกันที่ชื่อว่า B.GRIMM ซึ่งมีอายุมานานกว่า 147 ปี หรือตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5

สิ่งเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นอดีตที่น่าภาคภูมิใจของบริษัทไปเรียบร้อย และปัจจุบัน B.GRIMM ได้กลายเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายสำคัญของประเทศไทย ที่อยู่เบื้องหลังไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมไทย

และ B.GRIMM ไม่ได้หยุดตัวเองอยู่เพียงเท่านี้ แต่ยังออกไปโลดแล่นในระดับโลกด้วยการออกไปทำธุรกิจในต่างแดน ทั้งยุโรป สหรัฐอเมริกา และเอเชีย จนนำรายได้เข้าประเทศไทยได้อีกมากมาย

ลองมาดูกันว่า B.GRIMM วางรากฐานบุกเบิกธุรกิจในไทย จนไปไกลถึงต่างประเทศได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

จริง ๆ แล้ว B.GRIMM ก่อตั้งโดยชาวเยอรมันที่ชื่อว่า คุณแบร์นฮาร์ด กริม และหุ้นส่วนชาวออสเตรียชื่อ คุณแอร์วิน มุลเลอร์ มาเปิดร้านผลิตยาฉบับตะวันตกแห่งแรกขึ้นที่สยาม ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง

แม้บริษัทนี้จะถูกก่อตั้งโดยชาวยุโรป แต่ก็ยากที่จะแยกประวัติศาสตร์ของประเทศไทยออกจากการเติบโตของบริษัท จนพูดได้ว่าเป็นธุรกิจที่คอยช่วยสนับสนุนประเทศไทยในการบุกเบิกอะไรหลายอย่างก็คงไม่ผิดมากนัก

เริ่มตั้งแต่คลองรังสิต ที่เป็นสัญลักษณ์ของชาวจังหวัดปทุมธานีมาถึงทุกวันนี้

คลองรังสิต เป็นโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อพัฒนาให้กลายเป็นพื้นที่ปลูกข้าวขนาดใหญ่ เพื่อสามารถส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศได้

B.GRIMM ได้มีส่วนร่วมกับการก่อสร้างคลองรังสิตนี้ ด้วยการนำเครื่องจักรเข้ามาเพื่อขุดคลองความยาว 1,500 กิโลเมตร ในปี พ.ศ. 2431 ที่เรียกได้ว่ายาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยุคนั้นเลยทีเดียว

ต่อมาในปี พ.ศ. 2474 B.GRIMM ได้ติดตั้งระบบโทรศัพท์ทางไกลครั้งแรกระหว่างประเทศไทยและเยอรมนี

และถัดมาอีกในปี พ.ศ. 2477 บริษัทก็ได้เป็นผู้ติดตั้งวิทยุไร้สาย จนกลายมาเป็นชื่อถนนวิทยุชื่อดังของไทยในปัจจุบันที่เราเรียกกันจนคุ้นปาก

จากตัวอย่างที่เล่ามาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่า เส้นทางของ B.GRIMM สร้างประวัติศาสตร์ให้กับประเทศไทยในหลาย ๆ เรื่องโดยที่เราเองอาจไม่เคยรู้มาก่อน

อย่างไรก็ตาม B.GRIMM ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ เพราะหลังจากที่ครอบครัวของคุณอดอล์ฟ ลิงค์ ได้เข้ามาเป็น
เจ้าของบริษัทอย่างเต็มตัวในปี พ.ศ. 2457

ครอบครัวนี้ก็ตัดสินใจที่จะปรับรูปแบบของธุรกิจให้มีความหลากหลาย ให้เหมาะตามแต่ละยุคสมัย จนมาถึงธุรกิจโรงไฟฟ้าในปัจจุบัน ในยุคของ ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ผู้เป็นหลาน

โดยเรื่องนี้ เริ่มต้นขึ้นในช่วงที่รัฐบาลไทยอนุญาตให้เอกชนสามารถมาทำธุรกิจผลิตไฟฟ้า เผื่อแบ่งเบาภาระของภาครัฐ B.GRIMM ก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่ร่วมบุกเบิกธุรกิจโรงไฟฟ้าสำหรับภาคอุตสาหกรรม

จนปัจจุบัน โรงไฟฟ้าได้กลายมาเป็นธุรกิจหลักของ B.GRIMM นอกเหนือจากธุรกิจส่วนอื่น ๆ เช่น ธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจผลิตยาและเวชภัณฑ์ ธุรกิจไลฟ์สไตล์ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจดิจิทัล

ที่น่าสนใจคือ นอกจาก B.GRIMM ขายไฟฟ้าที่ผลิตได้ให้กับหน่วยงานรัฐของไทยอย่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนของรายได้รวมประมาณ 67%
บริษัทยังมีรายได้จากการขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมทั้งในไทยและเวียดนาม และรายได้จากการขายไฟฟ้าในต่างประเทศอีกด้วย…

ในปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากการขายไฟฟ้าให้กับหน่วยงานรัฐในต่างประเทศราว 4,200 ล้านบาท

นอกจากการลงทุนในเวียดนามแล้ว B.GRIMM ยังไปลงทุนทำธุรกิจในประเทศอื่น ๆ นั่นคือ สหรัฐอเมริกา, ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, ลาว, กัมพูชา, ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย

และยังมีโครงการอื่น ๆ ที่รอการพัฒนาในบางประเทศ เช่น อิตาลี, กรีซ, อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย
เรียกได้ว่าทำธุรกิจไปทั่วโลกถึง 3 ทวีปไปแล้ว ไล่ตั้งแต่เอเชีย อเมริกาเหนือ จนไปถึงยุโรป

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในประเทศเหล่านี้ ก็ไม่ได้เป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานในการผลิตแบบเดิม ๆ
แต่ B.GRIMM ยังสร้างการเติบโตไปพร้อมกับเทรนด์พลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์, ลม และน้ำ

ปัจจุบัน B.GRIMM พึ่งพาสัดส่วนการผลิตจากพลังงานเชื้อเพลิงมากถึง 72%
ที่เหลือมาจากการพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนที่มีราว 28%

ทำให้ B.GRIMM ตั้งเป้าหมายว่าภายในปี พ.ศ. 2573 บริษัทจะต้องมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้ได้มากกว่า 50% ของกำลังการผลิตทั้งหมด

ล่าสุด คนไทยก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการเติบโตของบริษัทได้
เพราะ B.GRIMM เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป จำนวน 2 ชุด คือ

- ชุดที่ 4 มีอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.9% ต่อปี
- ชุดที่ 5 มีอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.2% ต่อปี

ซึ่งจะมีการชำระดอกเบี้ยคงที่ทุก ๆ 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้

สำหรับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้นี้ อยู่ที่ระดับ A- ซึ่งเป็นการสะท้อนและยืนยันความแข็งแกร่งทางการเงินของ B.GRIMM ได้เป็นอย่างดี

โดยการเสนอขาย จะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 10-12 พฤศจิกายน 2568 จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท

ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้

สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ B.GRIMM สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้

- ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Bangkok Bank Mobile Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

- ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-888-8888 กด 869 หรือจองซื้อผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย)

- ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ CIMB Thai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

- ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) โทร. 02-285-1555

- ธนาคารออมสิน โทร. 02-299-9245-46 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ MyMo สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป
ที่เป็นบุคคลธรรมดา

- บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)*** โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Dime! สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา (ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร)

- บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-009-8351-56

- บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004

- บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร. 02-695-555

คำเตือน: ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

References :
- ข่าวประชาสัมพันธ์ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)
- รายงานประจำปี 2567 บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)