
รู้จัก SKIN เจ้าของแบรนด์ Skinsista เครื่องสำอางร้อยล้านของคนไทย ที่กำลัง IPO
SKIN x ลงทุนแมน
ถ้าถามว่า ธุรกิจไหนในไทยที่กำลังมาแรง หนึ่งในนั้นก็คงหนีไม่พ้น “สินค้าความงาม” ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 150,000 ล้านบาทและเติบโตขึ้นราว 12% ต่อปี จากการที่คนไทยหันมาใช้แบรนด์สินค้าความงามในประเทศมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นสินค้ากลุ่มสกินแคร์ในการดูแลผิว ที่มีมูลค่าตลาดถึง 120,000 ล้านบาท รวมไปถึงสินค้ากลุ่มเครื่องสำอาง ที่มีมูลค่าตลาดถึง 30,000 ล้านบาทในปัจจุบัน
และหนึ่งในบริษัทผู้อยู่เบื้องหลังสินค้ากลุ่มนี้ นั่นคือ บริษัท สกิน ลาบอราทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SKIN เจ้าของแบรนด์ Skinsista ที่กลุ่มวัยรุ่นและผู้มีปัญหาสิวต้องรู้จัก ที่ตอนนี้กำลังยื่นจดทะเบียนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) อีกด้วย
แล้ว SKIN เป็นใครมาจากไหน ?
ลงทุนแมน จะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมน จะเล่าให้ฟัง
จุดเริ่มต้นของ SKIN มาจากความตั้งใจและความฝันของคุณณัฐพร พงษ์ชาญชวลิต และคุณชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ที่จะทำแบรนด์สกินแคร์ไทยที่มีคุณภาพเทียบเคียงเคาน์เตอร์แบรนด์ แต่มีราคาที่เอื้อมถึงได้สำหรับคนไทย
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กว่า 12 ปี SKIN ก็ได้คิดค้นและพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์บำรุงผิวร่วมกับโรงงานผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน ทันสมัย และมีประสบการณ์ในการผลิตสูงภายใต้แบรนด์ Skinsista จนเป็นที่ยอมรับในหมู่วัยรุ่นและคนมีปัญหาสิวถึงผลิตภัณฑ์ที่เห็นผลจริงราคาเข้าถึงง่าย
ด้วยความที่สินค้ารูปแบบครีมซองของ Skinsista ได้รับความนิยมจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างมาก ปัจจุบันยอดขายกว่าครึ่งหนึ่งผ่านช่องทางร้านสะดวกซื้อ ส่วนที่เหลือเป็นการขายผ่านช่องทางอื่น เช่น ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ร้านเพื่อสุขภาพและความงาม รวมไปถึงแพลตฟอร์ม E-Commerce หลายช่องทางอย่าง Shopee, Lazada และ TikTok Shop
และล่าสุดในปี 2568 ทาง SKIN เพิ่งเปิดตัวเวชสำอางแบรนด์ใหม่ที่ร่วมพัฒนาและทดสอบโดยแพทย์ผิวหนังภายใต้ชื่อ Dermie โดยเจาะกลุ่มเป้าหมายอายุ 20-45 ปีที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการเปิดตลาดใหม่สู่กลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้นเป็นอย่างมาก
แต่ไม่ว่ากลุ่มลูกค้าจะกว้างและหลากหลายแค่ไหน คอนเซปต์การสร้างแบรนด์ก็ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีราคาเข้าถึงได้ ที่กลายมาเป็นความตั้งใจสำคัญของบริษัทในทุกช่วงที่ผ่านมา ด้วยวลีที่ว่า High quality skincare is not exclusive, It is for everyone. หรือก็คือ ผลิตบำรุงผิวหน้าคุณภาพสูง เข้าถึงได้และไม่ต้องจ่ายแพง
การมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเช่นนี้ ก็ยังสะท้อนไปยังรายได้ทุก ๆ 100 บาท ที่บริษัททำได้ในปี 2567 ซึ่งก็มาจากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการดูแลผิวสำคัญ
- ทุก ๆ รายได้ 100 บาท มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวหน้า 57.6 บาท
- ทุก ๆ รายได้ 100 บาท มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด 38.5 บาท
- ทุก ๆ รายได้ 100 บาท มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า 2.0 บาท
- ทุก ๆ รายได้ 100 บาท มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงหน้า 1.0 บาท
- ทุก ๆ รายได้ 100 บาท มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์แป้งผสมรองพื้น 0.9 บาท
จะเห็นได้ว่า แม้บริษัทจะมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผิวเป็นหลักอยู่ดี
- ทุก ๆ รายได้ 100 บาท มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด 38.5 บาท
- ทุก ๆ รายได้ 100 บาท มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า 2.0 บาท
- ทุก ๆ รายได้ 100 บาท มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงหน้า 1.0 บาท
- ทุก ๆ รายได้ 100 บาท มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์แป้งผสมรองพื้น 0.9 บาท
จะเห็นได้ว่า แม้บริษัทจะมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผิวเป็นหลักอยู่ดี
และอย่างที่บอกไปว่า ปัจจุบันมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหรือสกินแคร์อยู่ที่ 120,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้เข้ามาไปมีส่วนแบ่งในตลาดนี้อยู่แล้ว ตอนนี้บริษัทก็กำลังวางแผนที่จะไปเจาะตลาดเครื่องสำอางที่มีมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาทในอนาคตอีกด้วย
ตรงนี้เองก็แปลว่า จากเดิมที่บริษัททำได้แค่แย่งส่วนแบ่งตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวแค่ 120,000 ล้านบาท
ต่อไปบริษัทจะเข้าไปลุยตลาดเครื่องสำอางเพิ่มเติม ทำให้มูลค่าตลาดที่บริษัทจะเข้าไปแย่งใหญ่ขึ้นเป็น 150,000 ล้านบาทนั่นเอง
ต่อไปบริษัทจะเข้าไปลุยตลาดเครื่องสำอางเพิ่มเติม ทำให้มูลค่าตลาดที่บริษัทจะเข้าไปแย่งใหญ่ขึ้นเป็น 150,000 ล้านบาทนั่นเอง
แล้วที่ผ่านมา บริษัท สกิน ลาบอราทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SKIN มีผลประกอบการเป็นอย่างไรบ้าง ?
ปี 2565
รายได้ 282.12 ล้านบาท
กำไร 10.78 ล้านบาท
รายได้ 282.12 ล้านบาท
กำไร 10.78 ล้านบาท
ปี 2566
รายได้ 271.80 ล้านบาท
กำไร 16.79 ล้านบาท
รายได้ 271.80 ล้านบาท
กำไร 16.79 ล้านบาท
ปี 2567
รายได้ 229.13 ล้านบาท
กำไร 10.67 ล้านบาท
รายได้ 229.13 ล้านบาท
กำไร 10.67 ล้านบาท
ทั้งนี้กำไรในปี 2567 ที่ดูเหมือนลดลง ส่วนหนึ่งมาจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (one-time expense)สำหรับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และนำเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก
ในขณะที่อีกหนึ่งจุดเด่นของ SKIN คือ ฐานะการเงินที่แข็งแกร่งเป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้เงินกู้สถาบันการเงินแม้แต่บาทเดียว นอกจากนี้บริษัทยังมีอัตราผลตอบแทนจากส่วนผู้ถือหุ้นเฉลี่ย 2 ปีย้อนหลังสูงถึงเกือบ 20% แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินการปกติดังกล่าวในปีที่ผ่านมา
ปัจจุบัน บริษัทเตรียมจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อนำเงินที่ได้จากระดมทุนมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ สำหรับการลงทุนและพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิม คิดค้นและวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในตลาดเครื่องสำอาง ไปจนถึงขยายตลาดสู่กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น
โดยมีการอนุมัติให้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท 44 ล้านหุ้น คิดเป็น 30.55% ของทุนชำระแล้วทั้งหมดหลังการเสนอขาย IPO เสร็จสิ้นแล้ว
ถึงตรงนี้ ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า SKIN บริษัทเครื่องสำอางไทยร้อยล้านจะเติบโตอย่างไรต่อไปในอนาคต แต่ที่แน่ ๆ คือ บริษัทนี้ก็ยังคงเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของคนไทยต่อไปเรื่อย ๆ
ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ Skinsista หรือ Dermie ที่เราหยิบจับขึ้นมาตามร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ร้านเพื่อสุขภาพและความงาม รวมไปถึงการสั่งผ่านช่องทางออนไลน์อย่าง Shopee, Lazada หรือ TikTok Shop
ซึ่งยังคงคอนเซปต์เดิมไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือ ผลิตบำรุงผิวหน้าคุณภาพสูงที่แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด เข้าถึงได้และไม่ต้องจ่ายแพงอยู่เหมือนเดิม..

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้สนใจควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
Reference
-หนังสือชี้ชวนการลงทุน บริษัท สกิน ลาบอราทอรี่ จำกัด (มหาชน)
-หนังสือชี้ชวนการลงทุน บริษัท สกิน ลาบอราทอรี่ จำกัด (มหาชน)
Tag: SKIN