
MK บุกสุกี้ตี๋น้อย ยังไม่เริ่ม แต่หุ้นขึ้น 2,000 ล้าน
MK บุกสุกี้ตี๋น้อย ยังไม่เริ่ม แต่หุ้นขึ้น 2,000 ล้าน /โดย ลงทุนแมน
ข่าวใหญ่วงการตลาดทุน วันศุกร์ MK สุกี้มีมูลค่าบริษัท 16,000 ล้าน พอวันหยุดมีข่าว MK สุกี้เริ่มทำ “โบนัสสุกี้” วันนี้หุ้นขึ้น 12% คิดเป็นมูลค่าบริษัทที่เพิ่มขึ้น 2,00 ล้าน
ข่าวใหญ่วงการตลาดทุน วันศุกร์ MK สุกี้มีมูลค่าบริษัท 16,000 ล้าน พอวันหยุดมีข่าว MK สุกี้เริ่มทำ “โบนัสสุกี้” วันนี้หุ้นขึ้น 12% คิดเป็นมูลค่าบริษัทที่เพิ่มขึ้น 2,00 ล้าน
ทำไมนักลงทุนยอมจ่ายเงินซื้อหุ้นแพงขึ้น 12% ในชั่วข้ามคืน ?
การที่มูลค่าบริษัท MK Group เพิ่มขึ้น 2,000 ล้าน ตลาดกำลังบอกอะไรเรา ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
เรามาดูผลประกอบการที่ผ่านมา ของ สุกี้ตี๋น้อย
ปี 2564 รายได้ 1,572 ล้านบาท กำไร 148 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 3,976 ล้านบาท กำไร 591 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 5,262 ล้านบาท กำไร 907 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้ 7,075 ล้านบาท กำไร 1,169 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 1,572 ล้านบาท กำไร 148 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 3,976 ล้านบาท กำไร 591 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 5,262 ล้านบาท กำไร 907 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้ 7,075 ล้านบาท กำไร 1,169 ล้านบาท
เห็นตัวเลขก็บอกได้เลยว่า ถ้า Netflix อยากหาภาคต่อของซีรีส์สงครามส่งด่วน ก็คงจะเป็นเส้นทางของสุกี้ตี๋น้อยนี่แหละ ที่น่าจะเป็นเรื่องที่สุดไม่แพ้กัน
ด้วยกำไร 1,169 ล้านบาท ถ้าอยู่ในตลาดหุ้น ต่อให้ P/E ไม่แพง เช่น P/E 10 มูลค่าบริษัทสุกี้ตี๋น้อย ก็จะมีอย่างน้อย 11,690 ล้านบาทในเวลานี้
แปลว่าสิ่งที่เป็นผลตอบรับของตลาดหุ้นในนาทีนี้
ตลาดคาดเดาว่า MK สุกี้ จะแย่งส่วนแบ่งจากโมเดลใหม่ “โบนัสสุกี้” ได้มูลค่าบริษัทที่เพิ่ม 2,000 ล้านบาท หรือประมาณ 17% ของมูลค่าสุกี้ตี๋น้อยที่มีอยู่
ตลาดคาดเดาว่า MK สุกี้ จะแย่งส่วนแบ่งจากโมเดลใหม่ “โบนัสสุกี้” ได้มูลค่าบริษัทที่เพิ่ม 2,000 ล้านบาท หรือประมาณ 17% ของมูลค่าสุกี้ตี๋น้อยที่มีอยู่
เรียกได้ว่า แค่ยังไม่เริ่ม ตลาดก็เดาล่วงหน้าไปแล้วว่า MK เดินถูกทาง และจะแย่งส่วนแบ่งในตลาดนี้ได้
คำถามที่ทุกคนสงสัยก็คือ
MK มัวทำอะไรอยู่ กว่าจะทำได้ถูกทางก็ปล่อยให้สุกี้ตี๋น้อยโตมาถึงขนาดนี้
MK มัวทำอะไรอยู่ กว่าจะทำได้ถูกทางก็ปล่อยให้สุกี้ตี๋น้อยโตมาถึงขนาดนี้
ซึ่งไม่รู้ว่าจะเพราะเหตุผลอะไร ก็ต้องยอมรับว่า MK ลองผิดลองถูกอยู่นาน
ในตอนแรก MK คงคิดว่าเป็นตลาดคนละกลุ่ม และไม่สนใจลูกค้ากลุ่มนั้น
แต่พอเวลาผ่านนานไป ตลาดนี้กลับใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนมันสุกงอมพอที่ MK จะหันมามอง
และเหตุผลที่สำคัญต่อมา คือตลาดเดิมที่ MK อยู่ ดูจะถดถอย..
ผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2568 MK Group
- รายได้จากการขายและบริการ 3,541 ล้านบาท ลดลง 10.3% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
- กำไร 234 ล้านบาท ลดลง 32.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
- รายได้จากการขายและบริการ 3,541 ล้านบาท ลดลง 10.3% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
- กำไร 234 ล้านบาท ลดลง 32.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
พอเห็นตัวเลขแล้วก็รู้เลยว่า มันสวนทางกับตัวเลขของ สุกี้ตี๋น้อย
เศรษฐกิจดีก็โต เศรษฐกิจไม่ดีก็โต
ดังนั้นทางเลือกสุดท้ายของ MK ก็คือ
ต้องเปิดสงครามในตลาดที่กำลังโต
หนีไม่ได้อีกต่อไปแล้ว..
ต้องเปิดสงครามในตลาดที่กำลังโต
หนีไม่ได้อีกต่อไปแล้ว..
แล้ว MK มีจุดเด่นอะไรที่ได้เปรียบ และเสียเปรียบสุกี้ตี๋น้อยบ้าง ?
จุดเด่นข้อแรกเลยก็คือ
1. MK มีกำลังการผลิตจากครัวกลางที่ทรงพลัง
1. MK มีกำลังการผลิตจากครัวกลางที่ทรงพลัง
จากยอดขายที่หดตัวลง แปลว่า ครัวกลางของ MK มีกำลังการผลิตเหลืออยู่ หลายคนคงเคยเห็นการถ่ายรีวิวครัวกลาง MK ที่มีขั้นตอนการล้างผัก คัดเลือกวัตถุดิบ ดังนั้นประสบการณ์ คุณภาพ อำนาจในการต่อรองของ MK มีจุดเด่นนี้สูงมาก สูงกว่าผู้เล่นรายอื่น ๆ ในตลาดที่เริ่มจาก 0
2. MK มีศูนย์ฝึกอบรมพนักงานที่พร้อมขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว
จากศูนย์ฝึกของ MK ที่รองรับการขยายสาขา พอสาขาของ MK ในห้างเดิมอาจไม่ได้ขยายมากแล้ว ในตอนนี้ก็มารองรับการขยายของโบนัสสุกี้แทน หลายคนยังจำการเต้นของพนักงาน MK ได้ดี สิ่งนี้แหละคือประสบการณ์ของ MK ที่ยากจะหาใครเหมือน
3. MK มีกระสุนเงินสดจำนวนมาก
รู้ไหมว่า MK สุกี้ เป็นบริษัทที่มีเงินสดมากเป็นอันดับต้น ๆ ในประเทศไทย
จากงบไตรมาส 1 ปี 2568
MK Group มีเงินสด 390 ล้านบาท
และมีเงินลงทุนในตราสารหนี้ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้อีก 7,164 ล้านบาท
รวมกันเป็น 7,554 ล้านบาท
MK Group มีเงินสด 390 ล้านบาท
และมีเงินลงทุนในตราสารหนี้ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้อีก 7,164 ล้านบาท
รวมกันเป็น 7,554 ล้านบาท
เงินจำนวนนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะได้มาจากตอน IPO ที่ราคา 49 บาทต่อหุ้น (ตอนนี้ราคา 19.5 บาทต่อหุ้น) ซึ่ง MK ได้เงินสดจำนวนมากตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็เก็บไว้ ไม่ค่อยได้ใช้อะไรมาก มากสุดก็ไปซื้อแหลมเจริญ
จะเห็นได้ว่า เงินสดนี้ เป็นเครื่องเตือน สุกี้ตี๋น้อยว่า “อย่าเริ่มสงครามราคา” เพราะ MK มีกระสุนพร้อมทำสงครามเต็มกระเป๋า เงินสด 7,554 ล้านบาทที่ MK มี จำนวนนี้มากกว่ายอดขายของสุกี้ตี๋น้อยทั้งปี หมายความว่า โบนัสสุกี้ เปิดให้ลูกค้ากินฟรีทั้งปีให้กับทุกคนที่เป็นลูกค้าสุกี้ตี๋น้อย เงินของ MK ก็ยังไม่หมด..
4. MK มี Know-how ในการขยายสาขาได้เร็ว โดยรักษามาตรฐานได้
MK ไม่ใช่คู่แข่งโนเนมไร้ประสบการณ์ เรื่องการขยายสาขาเร็ว ๆ แบบรักษามาตรฐาน ทั้งในเรื่องคุณภาพวัตถุดิบ ความสะอาด เรื่องนี้ MK ทำมาตลอด หมายความว่า MK พร้อมขยายสาขาได้อย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยมีคู่แข่งของสุกี้ตี๋น้อยคนไหนทำได้ และแถมขยายสาขาได้อย่างมีมาตรฐานที่ดีอีกด้วย
5. เรื่องนี้สำคัญที่สุด MK มีน้ำจิ้มที่ทุกคนคุ้นปาก และยอมรับในรสชาติ
ถ้าให้หลับตา Blind test ชิมน้ำจิ้ม โดยที่หนึ่งในนั้นมีน้ำจิ้ม MK และร้านอื่น ๆ ให้น้ำจิ้มของสุกี้ตี๋น้อยเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้
ต้องยอมรับว่า คนส่วนใหญ่จะรู้รสชาติว่าอันไหนเป็น MK
แปลว่าสิ่งนี้เป็นข้อได้เปรียบของ MK มากในการจุดติดโมเดลใหม่ให้สำเร็จ (ถ้าน้ำจิ้มไม่เปลี่ยนสูตรไปจากร้าน MK เดิม)
และสิ่งนี้แหละ อาจเป็นดาบสองคม ที่จะกล่าวถึง ความเสี่ยงและข้อเสียเปรียบของ MK ในประเด็นถัดไป..
1. MK มีต้นทุนเดิมที่ทำใจยาก ถ้าจะเสียมันไป
ลองคิดดูว่าถ้าเอาน้ำจิ้ม MK มาใส่ในโบนัสสุกี้ แปลว่าลูกค้าบางกลุ่มอาจเลือกไม่กิน MK สุกี้เดิม และหันมาร้านโบนัสสุกี้ เพราะมันคุ้มกว่าเดิม ทำให้ MK มีโอกาสที่จะสูญเสียลูกค้าหน้าร้าน MK เดิม ดังนั้นเป็นเรื่องลำบากใจสำหรับ MK ในการจัดการกับเรื่องนี้
ถ้า MK ทำให้สุด มีน้ำจิ้ม MK เดิม มาใส่โบนัสสุกี้ ก็จะอาจต้องยอมเสียสละลูกค้าบางส่วน
แต่ถ้าทำไม่สุด โอกาสชนะสุกี้ตี๋น้อยก็จะน้อยลง
MK จะเลือกทางไหน ?
2. MK ปล่อยให้สุกี้ตี๋น้อยขยายสาขามานาน และมากเกินไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้สุกี้ตี๋น้อยมีสาขามากถึง 86 สาขา ทำรายได้ต่อปี 7 พันล้าน เป็นจำนวนที่มากพอที่จะทำให้เกิด Economies of Scale ที่มีต้นทุนที่ประหยัดต่อขนาดที่สามารถแข่งขันได้กับ MK โดยที่ MK เพิ่งเริ่มมีโบนัสสุกี้ ซึ่งจะมีต้นทุนรวมต่อสาขาที่สูงกว่าสุกี้ตี๋น้อย
ลองคิดดูว่าถ้า MK ต้องมีผู้บริหาร พนักงานการตลาด พนักงานบัญชี ครัวกลางโซนใหม่ เพื่อรองรับสาขาเดียว มันจะเป็นต้นทุนต่อสาขาที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับสุกี้ตี๋น้อย ที่ทรัพยากรเหล่านี้มีเพื่อรองรับ 86 สาขา
ดังนั้นในช่วงแรก MK อาจต้องดูว่าใช้ทรัพยากรของเดิมได้ไหม ซึ่งถ้าใช้ พนักงานส่วนกลาง MK คงต้องทำงานหนักมากขึ้น และคงได้ตื่นเต้นกับธุรกิจใหม่ไปพร้อมกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
3. MK ยังไม่มี Know-how ด้านธุรกิจบุฟเฟต์ราคาถูก เท่าสุกี้ตี๋น้อย
แน่นอนว่า สุกี้ตี๋น้อยผ่านการลองผิดลองถูกมานาน ทั้งในแง่การจัดเรียงร้าน การวางเมนู การจัดการหลังบ้าน และการตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคในกลุ่มบุฟเฟต์ราคาประหยัด
ดังนั้นเมื่อเทียบกับโบนัสสุกี้แล้ว ต้องบอกว่า สุกี้ตี๋น้อยยังได้เปรียบในธุรกิจนี้ในช่วงแรก ขึ้นอยู่กับว่าความเร็วในการเรียนรู้ธุรกิจของ MK จะมีมากน้อยแค่ไหน
และข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ..
4. MK กำลังเริ่มทำธุรกิจที่จะไม่ได้กำไรไปอีกสักพัก
การที่ MK เริ่มเปิดสาขาแรก ๆ หลายอย่างจะต้องลองผิดลองถูก และจะยังไม่มีการประหยัดต่อขนาดพอที่จะทำกำไร ที่สำคัญ หากสุกี้ตี๋น้อยเห็นตรงนี้ และเปิดเกมทำสงครามราคา ก็จะทำให้ MK ขาดทุนหนักในธุรกิจนี้
ดังนั้นเรื่องนี้จะยังไม่มีบทสรุปว่า MK จะสำเร็จไหมในธุรกิจนี้ จริงอยู่ MK เป็นยักษ์ใหญ่ธุรกิจสุกี้ที่อยู่ในห้าง มีระบบครัวกลาง และมีเงินสดเหลือเฟือ พร้อมท้าชน
แต่สุกี้ตี๋น้อยก็ใหญ่ในธุรกิจสุกี้นอกห้าง ที่พร้อมปกป้องคูเมืองของตัวเอง ด้วยการทำโปรโมชันลดราคา หรืออีกหลายวิธีที่เราอาจนึกไม่ถึง
ถ้า MK ทนขาดทุนในช่วงแรกได้ ก็คงจะมีส่วนแบ่งตลาดได้ในธุรกิจนี้ ซึ่งตลาดก็ได้เฉลยแล้วว่าตลาดคาดหวังว่า MK จะได้ส่วนแบ่งมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท หรือประมาณ 17% ของธุรกิจนี้
สุกี้ตี๋น้อยก็จะเสียส่วนแบ่งไป 17% หากไม่ทำอะไร
แต่ถ้า สุกี้ตี๋น้อย พร้อมท้าชนแบบไม่หวงกำไรของเดิม ก็จะทำให้ MK เจ็บ สุกี้ตี๋น้อยเองก็เจ็บ และแน่นอนผู้เล่นรายอื่นที่อยู่ในตลาดกลุ่มนี้ จะยิ่งเจ็บหนักไม่แพ้กัน บางรายที่สายป่านไม่มากพอ อาจถึงขั้นต้องออกจากธุรกิจไป..
ทะเลเลือด “สงครามสุกี้เดือด” กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว
สำหรับลงทุนแมนแล้ว คงต้องบอกว่า
ถ้าเราหวังดีกับใครที่ใกล้ตัว ซึ่งจะเริ่มทำธุรกิจร้านอาหารบุฟเฟต์ ราคาประหยัด
ถ้าเราหวังดีกับใครที่ใกล้ตัว ซึ่งจะเริ่มทำธุรกิจร้านอาหารบุฟเฟต์ ราคาประหยัด
เราต้องบอกคนนั้นให้ “หนีไป”
เพราะช้างจะเริ่มชนกันแล้ว..
เพราะช้างจะเริ่มชนกันแล้ว..