หากเราพูดถึงหุ้นเด่นที่สร้างผลตอบแทนให้คุณวอร์เรน บัฟเฟตต์ อย่างมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

หลายคนก็คงจะนึกถึง หุ้นอย่าง Coca-Cola (KO), American Express (AXP) หรือ Apple (AAPL)

แต่ว่าทั้งหมดนั้น กลับไม่ใช่การลงทุนที่ดีที่สุดของคุณวอร์เรน บัฟเฟตต์

แล้วการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดของคุณวอร์เรน บัฟเฟตต์ คืออะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

ครั้งหนึ่งเคยมีคนถาม คุณบัฟเฟตต์ ในงานประชุมประจำปีว่า ในสถานการณ์ที่เงินเฟ้อสูงขึ้น อย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 1970-1975

หากต้องเลือกหุ้นเพียงตัวเดียวที่จะลงทุน และจะยังคงแข็งแกร่งในช่วงเงินเฟ้อ ควรเลือกหุ้นตัวไหน ?

แต่คุณบัฟเฟตต์ กลับแนะนำว่า ยังมีสิ่งที่ดียิ่งกว่าการเลือกลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียว
นั่นคือการลงทุนในตัวเอง ด้วยการพัฒนาทักษะและความสามารถ

คุณบัฟเฟตต์ แนะนำว่า สิ่งที่ดีที่สุด ที่เราสามารถทำได้คือ การเก่งในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ เช่น หากเราเป็นหมอที่เก่งที่สุดในเมือง, ทนายความที่เก่งที่สุด หรือเป็นนักร้อง นักกีฬาที่โดดเด่น

ทักษะและความสามารถเหล่านี้ ไม่สามารถถูกพรากไปจากเราได้ และไม่สามารถถูกลดค่าลงด้วยภาวะเงินเฟ้อ

ดังนั้น การลงทุนที่ดีที่สุดคือ การลงทุนที่ช่วยพัฒนาตัวคุณเอง และที่สำคัญคือ มันไม่ถูกเก็บภาษี

โลกใบนี้ยังคงต้องการคนที่มีทักษะเสมอ และผู้คนที่มีทักษะจะได้รับผลตอบแทนจากสังคมมากกว่าคนที่ไม่ค่อยมีทักษะ

เปรียบเหมือนบริษัทที่มี “คูเมือง” (Moat) หรือข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งทำให้ยากที่จะถูกคู่แข่งเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด หรือทดแทนได้

ทักษะเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมาจากการศึกษาในโรงเรียนเสมอไป แต่อาจมาจากสิ่งที่เราชอบทำ สิ่งที่เราถนัด และสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

แล้วทำไมการลงทุนในตัวเอง ถึงดีที่สุด ?

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเป็นหมอที่เก่งที่สุดในเมือง ไม่ว่าค่าเงินจะลดลงเท่าไร คนก็ยังจะนำสิ่งของ (หรือสิ่งอื่น ๆ) มาให้ เพื่อแลกกับทักษะความรู้ของเราอยู่ดี

แม้จะมีแนวคิดที่ว่าเราควรใช้เวลา 10,000 ชั่วโมงในการฝึกฝนสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เชี่ยวชาญ

แต่คุณบัฟเฟตต์ แนะนำว่าควรใช้เวลาไปกับสิ่งที่คุณชอบจริง ๆ สิ่งที่คุณทำได้ดี และสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

เพราะถ้าเราทุ่มเวลาไปทำสิ่งที่ไม่ถนัด ต่อให้พยายามมากแค่ไหน ก็อาจไม่ได้ผลดีนัก

อย่างเช่น ถ้าให้คุณบัฟเฟตต์ไปซ้อมมวย ถึงจะฝึก 10,000 ชั่วโมง เขาก็ไม่อาจเป็นนักมวยเฮฟวีเวตที่เก่งได้ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับเขา

ซึ่งแนวทางการลงทุนในตัวเองตามแบบฉบับของคุณบัฟเฟตต์ สามารถสรุปได้เป็น 5 ข้อด้วยกัน คือ

1. การอ่านหนังสือ

คุณบัฟเฟตต์อ่านหนังสือทุกวัน วันละเกือบ 500 หน้า และบอกว่าใช้เวลา 80% ของวันไปกับการอ่านและคิด

ซึ่งเขาเชื่อว่า ความรู้ก็เหมือนดอกเบี้ยทบต้น ยิ่งเรียนรู้สั่งสมทุกวัน ยิ่งเติบโต และทรงพลังในระยะยาว

2. พัฒนาทักษะการสื่อสาร

เขาเคยบอกว่า การลงทุนที่ดีที่สุดที่เคยทำ คือการเรียนคอร์สพูดต่อหน้าสาธารณชนของ Dale Carnegie

เดิมทีคุ​ณบัฟเฟตต์เป็นคนขี้อาย ไม่กล้าพูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ แต่หลังจากเรียนคอร์สนี้ เขาสามารถสื่อสารกับผู้ถือหุ้น นักลงทุน และผู้บริหารได้อย่างมั่นใจ และมีประสิทธิภาพ

ทักษะนี้ช่วยให้เขาประสบความสำเร็จ เพราะการลงทุนไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือการสื่อสารกับคน

3. การเลือกสภาพแวดล้อม และคนรอบตัว

เขามักบอกว่า “จงอยู่กับคนที่ดีกว่าคุณเล็กน้อย แล้วคุณจะเติบโตไปในทิศทางเดียวกับเขา”

เขาได้เรียนรู้จากคุณเบนจามิน เกรแฮม ร่วมงานกับคุณชาร์ลี มังเกอร์ และอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีความสามารถ มีวินัย

สิ่งนี้ช่วยยกระดับวิธีคิด และการตัดสินใจของเขา ซึ่งส่งผลต่อความสำเร็จในระยะยาว

4. การฝึก “คิดระยะยาว” และมีวินัย

เรื่องนี้สะท้อนไปยังกลยุทธ์การลงทุนของเขา ที่อดทนรอจังหวะที่ใช่ แม้จะต้องรอเป็นเวลาหลายปี และไม่โลภตามตลาด

เขายึดหลัก “Circle of Competence” ลงทุนเฉพาะสิ่งที่เข้าใจจริง ๆ และคิดเหมือนเป็นเจ้าของกิจการ ไม่ใช่นักเก็งกำไร

5. พัฒนาตัวเองในด้านชีวิต และความสุข

คุณ​บัฟเฟตต์เลือกทำงานที่เขารัก ทำให้ทุกเช้าเขาตื่นมาพร้อมความตื่นเต้นที่จะได้ทำในสิ่งที่ชอบ ซึ่งเขาบอกเสมอว่า ยังอยากทำงานทุกวัน แม้ปัจจุบันจะอายุ 94 ปี

นอกจากนี้ คุณบัฟเฟตต์มักใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่วิ่งตามของหรูหรา จึงมีเวลา และพลังไปโฟกัสกับสิ่งสำคัญจริง ๆ พร้อมทั้งคืนประโยชน์ให้สังคมด้วยการบริจาคทรัพย์ส่วนใหญ่ให้การกุศล

อย่างไรก็ตาม แนวทางการพัฒนาตัวเอง ก็อาจจะแตกต่างกันไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของแต่ละคนที่แตกต่างกัน

แต่คำตอบของคุณบัฟเฟตต์ ก็สะท้อนให้เห็นว่า เบื้องหลังหุ้นดี ๆ ที่สร้างผลตอบแทนและความมั่งคั่งอย่างมหาศาลของเขา

ไม่ได้มาจากตลาดหุ้น โชคชะตา หรือเทคนิคการวิเคราะห์ที่ซับซ้อน แต่มาจากการลงทุนในตัวเขาเองอย่างต่อเนื่อง ที่ได้สร้างผลตอบแทนทบต้นมาเรื่อย ๆ ตลอดช่วง 90 กว่าปีที่ผ่านมา

หรือก็คือหุ้นที่ดีที่สุดของคุณบัฟเฟตต์ ก็คือตัวเขาเอง..