“ไทยมีจุดแข็งและได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ แต่การลงทุนจริงติดขัดปัญหาด้านกฎระเบียบ ซึ่งนำไปสู่การผลักดันโครงการ Thailand FastPass เพื่อปลดล็อกเงินลงทุน 4.8 แสนล้าน”

“ไทยมีจุดแข็งและได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ แต่การลงทุนจริงติดขัดปัญหาด้านกฎระเบียบ ซึ่งนำไปสู่การผลักดันโครงการ Thailand FastPass เพื่อปลดล็อกเงินลงทุน 4.8 แสนล้าน”

นี่คือหนึ่งในใจความสำคัญ ที่คุณเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ได้กล่าวที่งานสัมมนา SPOTLIGHT DAY 2025 New World Order เศรษฐกิจไทยในระเบียบโลกใหม่
ในหัวข้อ “Thailand's Moment: Igniting Economic Revival มั่นใจประเทศไทย พลิกฟื้นเศรษฐกิจ”
คุณเอกนิติ อธิบายถึงแนวคิดหลักในการออกแบบนโยบายเศรษฐกิจ ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง โดยมีเป้าหมายคือ การทำให้รากฐานเศรษฐกิจฟื้นกลับขึ้นมา + เตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต
อย่างแรกที่ทีมเศรษฐกิจทำคือ ยอมรับความเป็นจริงว่า เศรษฐกิจไทยเป็นอย่างไร เพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ตรงจุด แล้วจัด Priority สิ่งที่ต้องทำ
ด้วยความที่มีข้อจำกัดด้านเวลา เพราะมีเวลาเพียง 4 เดือนในการทำงาน และมีงบประมาณจำกัด
นโยบายที่ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงต้องเป็น "Quick Big Win" ภายใต้กรอบ "กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว"
Quick ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ผลในระยะสั้น
Big ต้องเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาว
Win ต้องมีการกระจายตัวของผลประโยชน์ ช่วยเหลือประชาชนและธุรกิจรายย่อยอย่างทั่วถึง
สำหรับเรื่อง ระเบียบโลกใหม่ (New World Order) และโอกาสของประเทศไทย นั้น
ตอนนี้ ระเบียบโลกใหม่ มี 3 เรื่องใหญ่ ๆ ได้แก่
1. ระเบียบการค้า (Trade Order)
การแข่งขันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รุนแรง เพราะสองช้างชนกัน
แต่สถานการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เรื่องทำนองนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 1980 ระหว่างสหรัฐฯ​ กับญี่ปุ่น

ซึ่งตอนนั้นใช้เครื่องมือทำสงครามคือ ค่าเงิน
โดยสหรัฐฯ บีบญี่ปุ่นที่เกินดุลการค้ามาก ๆ ด้วยการบีบให้ค่าเงินเยนแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 200 กว่าเยน/ดอลลาร์ เหลือ 100 กว่าเยน/ดอลลาร์ ภายใน 6 เดือน
ญี่ปุ่นปรับตัวโดยการย้ายฐานการผลิต มายังอาเซียน ทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์จาก "บุญเก่า" คือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ Eastern Seaboard เช่น มาบตาพุด และท่าเรือต่าง ๆ
วันนี้ก็เช่นกัน สงครามการค้า แค่เปลี่ยนตัวผู้เล่นเป็น สหรัฐฯ กับ จีน
เพียงแต่ไม่ได้ใช้ค่าเงินโดยตรง แต่เปลี่ยนมาใช้ “ภาษี” เป็นอาวุธแทน เพื่อบีบประเทศอื่น

ท่ามกลางสถานการณ์นี้ คุณเอกนิติ มองว่า ประเทศไทยยังมีโอกาส
อย่างแอปพลิเคชันขอรับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) โตขึ้น 90% สะท้อนว่าต่างชาติยังอยากมาลงทุนที่ไทยอยู่
ซึ่งไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขัน และจุดแข็งอยู่ ไม่ใช่ไม่มีเลย เช่นเรื่องเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมอาหาร และ Smart Farming
เรื่อง Smart Electronics ที่ต่างชาติก็สนใจมาลงทุนที่ไทย
เนื่องจากไทยมีฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์เก่า เช่น Server, Circuit Board ซึ่งยังจำเป็นและเป็นที่ต้องการในยุค AI
และอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ทั้งญี่ปุ่นและจีน ยังสนใจมาลงทุน เพื่ออัปเกรดฐานการผลิตจากรถสันดาป เป็นรถ Hybrid หรือ EV
รวมถึงเรื่อง Medical Hub การแพทย์ครบวงจร เนื่องจากแพทย์ไทยเก่ง และโรงพยาบาลมีการจัดการที่ดี
สิ่งเหล่านี้เป็นจุดแข็งของประเทศไทย
แต่ทำไมเราถึงไม่รู้สึกอย่างนั้น ?
ก็เพราะติดเรื่องของกฎระเบียบ
ประเทศไทย สามารถคว้าโอกาสได้ เพียงแค่ต้องปลดล็อกกฎระเบียบ
2. ระเบียบเทคโนโลยี (Technology Order)
โลกปัจจุบันคือโลกของ AI
แต่ความท้าทายของคนไทยคือ คนไทยเก่งในการใช้โซเชียลมีเดีย และแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่ยังไม่มีการใช้ดิจิทัล หรือ AI เพื่อประโยชน์ในการประกอบอาชีพมากนัก
สิ่งสำคัญที่สุดคือ การลงทุนในคน (Reskill/Upskill) เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ
3. ระเบียบสภาพภูมิอากาศ (Climate Order)
ทั่วโลกมีกติกาเรื่อง Net Zero 2050 หากไทยไม่ดำเนินการเรื่องลดคาร์บอน สินค้าส่งออกไปยุโรปจะถูกเก็บ ภาษีคาร์บอน ผ่านกลไก Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM)
ซึ่งปัจจุบันมีสินค้า 5 ชนิดที่เตรียมถูกเก็บภาษี ทำให้สินค้าไทยแพงขึ้น
ไทยต้องสนับสนุน Bio-economy นำผลผลิตเกษตร มาสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงในยุโรปและญี่ปุ่น
และต้องแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ ที่ผันผวนรุนแรงในระยะยาว
ในส่วนของเรื่องการลงทุน เพื่อให้สอดคล้องกับ 3 ระเบียบโลกใหม่ที่ว่ามานั้น
รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ โดยไม่ใช้เงินกู้ใหม่ แต่ใช้เงินที่มีอยู่ เพื่อรักษาวินัยการคลัง รวมถึงปรับแก้กฎระเบียบเพื่อปลดล็อกการลงทุน
- Thailand FastPass
เพราะแม้จะมีโครงการที่ได้รับบัตรส่งเสริม BOI แล้ว และพร้อมที่จะลงทุนจริง มูลค่าประมาณ 480,000 ล้านบาท แต่ยังดำเนินการไม่ได้ เนื่องจากติดขัดเรื่องกฎระเบียบ, น้ำ, ไฟฟ้า, วีซ่า และที่ดิน
จึงมีโครงการ Thailand FastPass ที่ ครม. อนุมัติ เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนเหล่านี้ในระยะสั้น ให้การลงทุนเกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสำคัญที่มีการลงทุนสูง เช่น Data Center
- โครงสร้างพื้นฐานใหม่ “พลังงานสะอาด”
นักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะ Data Center และ Cloud ต้องการพลังงานสะอาด จึงได้ประสานงานกับรัฐมนตรีพลังงาน เพื่อปลดล็อกระเบียบของ กกพ. (คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน) เพื่อให้เอกชนสามารถลงทุนพลังงานสะอาดเองได้
ประเทศไทยมีพื้นที่มาก ทั้งที่ราชพัสดุ 10 กว่าล้านไร่ และอ่างเก็บน้ำ ซึ่งสามารถใช้ทำ Floating Solar หรือ Solar Farm โดยคิดค่าเช่าที่ถูก เพื่อสร้างฐานการผลิตพลังงานสะอาด
- การสร้างเมืองคาร์บอนต่ำ (Low Carbon City)
เป็นโครงการที่ทำร่วมกับ World Bank โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างเมืองต้นแบบ โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน เช่น SCG และเป็นการร่วมมือระหว่างเอกชน รัฐบาล และท้องถิ่น หากขยายผลไปทั่วประเทศ จะช่วยให้เกิดพลังงานสะอาดและสอดคล้องกับกติกาโลก
- การลงทุนในคนและดิจิทัลเพื่ออาชีพ
เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส เป็นการกระตุ้นสั้นและได้ผลยาว
เน้นการกระจายเงินไปที่ตลาด พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ไม่ใช่ Modern Trade
รวมถึงได้จับมือกับแพลตฟอร์มและธนาคาร เพื่อให้ความรู้ AI และดิจิทัล ในการประกอบอาชีพแก่พ่อค้าแม่ค้า
โดยให้แรงจูงใจ ร้านค้าที่มาเรียน จะได้รับเงินอุดหนุนสูงสุด 2,000 บาท
ผลลัพธ์คือ มีร้านค้าสมัครเรียนกว่า 50,000 ร้านค้า ภายในอาทิตย์แรก
สิ่งที่สอนมี 3 อย่าง
1) การขายออนไลน์ให้เป็น ที่ช่วยให้ยอดขายของร้านค้าดีขึ้น
2) การลดต้นทุน ทั้งผ่านการเข้าถึงสินเชื่อในระบบไม่เกิน 50,000 บาท ลดการกู้นอกระบบ, การทำบัญชีออนไลน์
3) การใช้ดิจิทัล และ AI เพื่อให้ธุรกิจเติบโต
นอกจากนี้ ยังมีกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ (BOI) ที่ใช้เงินกองทุน 1 หมื่นล้านบาทที่มีอยู่แล้ว เน้นการ Reskill/Upskill โดยให้ภาคเอกชนที่ลงทุนอยู่แล้วในไทย เป็นผู้กำหนดหลักสูตร ทั้งรูปแบบออนไลน์และบูตแคมป์
และจับมือกับมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างบุคลากรในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น Data Center และ Cloud เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้เศรษฐกิจไทยต่อไป

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon