
ทบทวนปี 2025 ถอดบทเรียน ด้านการลงทุน
ทบทวนปี 2025 ถอดบทเรียน ด้านการลงทุน /โดย ลงทุนแมน
ก่อนปี 2025 นี้จะจบลง เราลองมาทบทวนความทรงจำกันสักหน่อย แล้วมาวิเคราะห์ดูว่า เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้
ก่อนปี 2025 นี้จะจบลง เราลองมาทบทวนความทรงจำกันสักหน่อย แล้วมาวิเคราะห์ดูว่า เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้
ปี 2025 นี้ เกิดเหตุการณ์สำคัญด้านการลงทุนอะไรบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
1. สงครามภาษี
เรื่องแรกที่เราคงต้องพูดถึง ก็คงเป็นเรื่อง สงครามภาษี
ส่วนตัวแปรของปีนี้ ที่สร้างความโกลาหลไปทั่วโลก ก็คงไม่พ้นคุณทรัมป์
เรื่องแรกที่เราคงต้องพูดถึง ก็คงเป็นเรื่อง สงครามภาษี
ส่วนตัวแปรของปีนี้ ที่สร้างความโกลาหลไปทั่วโลก ก็คงไม่พ้นคุณทรัมป์
ย้อนกลับไปวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 2025
หลังจากที่คุณทรัมป์ได้ประกาศ Reciprocal Tariff Act เพื่อกำหนดภาษีนำเข้าสุดโหด กับประเทศคู่ค้าทั่วโลก ตั้งแต่ 10-50%
หลังจากที่คุณทรัมป์ได้ประกาศ Reciprocal Tariff Act เพื่อกำหนดภาษีนำเข้าสุดโหด กับประเทศคู่ค้าทั่วโลก ตั้งแต่ 10-50%
ทำให้ทางจีนสวนกลับสหรัฐฯ โดยประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทั้งหมด ในอัตรา 34% ซึ่งตอนนั้นถือเป็นการเปิดฉาก สงครามภาษี เต็มรูปแบบ และตอบโต้กันไปมา จนอัตราภาษีทะลุ 100% ไปไกล
จนนักวิเคราะห์หลายคนต่างคาดว่า โลกเรากำลังจะเข้าสู่ Great Depression หรือช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลกซึ่งกินเวลาเป็น 10 ปี เลยทีเดียว
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า สงครามภาษี ได้ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ทั่วโลก ทั้งเศรษฐกิจหดตัว, คนมีกำลังซื้อน้อยลง, มีคนว่างงานเกิดขึ้นในระบบ และมีคนยากจนเพิ่มขึ้น
ส่วนประเทศไทยเองก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน เนื่องจากไทยเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หากจีนถูกขึ้นภาษี สินค้าจีนในสหรัฐฯ ก็จะแพงขึ้น ทำให้ยอดขายตกลง
ทำให้จีนต้องหาตลาดใหม่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออาเซียน รวมถึงไทย ทำให้สินค้าจีน เข้ามาแข่งขันกับสินค้าไทยโดยตรง
หรือถ้ากรณี จีนหาตลาดใหม่ไม่ได้ โรงงานในจีน ก็อาจลดการผลิตลง ประเทศไทยที่ส่งออกชิ้นส่วนและวัตถุดิบไปจีนก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
และนี่เป็นสัญญาณว่า ต่อไปนี้โลกของเราอาจจะไม่ใช่โลกที่มีการค้าเสรีอีกต่อไป
2. Fed
การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คือสิ่งที่นักลงทุน ไม่ว่าจะรายใหญ่ระดับธนาคาร ที่บริหารสินทรัพย์มูลค่าเป็นล้าน ๆ หรือรายย่อย ที่นั่งเทรดหุ้นอยู่หน้าจอมือถือ ต่างก็ติดตามกันทั่วโลก
การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คือสิ่งที่นักลงทุน ไม่ว่าจะรายใหญ่ระดับธนาคาร ที่บริหารสินทรัพย์มูลค่าเป็นล้าน ๆ หรือรายย่อย ที่นั่งเทรดหุ้นอยู่หน้าจอมือถือ ต่างก็ติดตามกันทั่วโลก
เพราะนอกจากการปรับอัตราดอกเบี้ยของ Fed แต่ละครั้ง จะส่งผลต่อราคาทรัพย์สินต่าง ๆ และเศรษฐกิจโลก
ซึ่งที่ผ่านมา Fed ก็ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเรื่อย ๆ
และล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2025 ในที่ประชุม Fed ได้มีการลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ให้เหลือประมาณ 3.50-3.75% ตามที่ตลาดคาดไว้ และเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ติดต่อกันในปีนี้
แต่ประเด็นสำคัญคือการที่คุณเจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ส่งสัญญาณว่า อาจหยุดชะลอการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคต
ทำให้ในอนาคตอันใกล้นี้ การลงทุนในตลาดหุ้นอาจจะต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
3. ยุครุ่งโรจน์ของ AI
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือปีแห่ง AI ที่ใคร ๆ ก็พูดถึง โดยผู้คนทั่วโลกจะมีความต้องการด้าน AI เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ใครที่ไม่ใช้ AI ก็จะเป็นคนหรือประเทศที่ถอยหลัง ตามคนอื่นไม่ทัน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือปีแห่ง AI ที่ใคร ๆ ก็พูดถึง โดยผู้คนทั่วโลกจะมีความต้องการด้าน AI เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ใครที่ไม่ใช้ AI ก็จะเป็นคนหรือประเทศที่ถอยหลัง ตามคนอื่นไม่ทัน
ปัจจุบัน AI แบ่งเป็น 2 ขั้ว ซึ่งก็คือ สหรัฐฯ และจีน โดยทั้ง 2 ประเทศนี้ ต่างชนะในอุตสาหกรรมนี้ด้วยกันทั้งคู่ แต่เป็นคนละด้าน
และผู้คนทั่วโลกจะใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการจาก 2 ประเทศนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เรื่องแรก
จีน ชนะในอุตสาหกรรม AI ด้าน Hardware อุปกรณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ โดรน, เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน, รถยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึง Humanoid Robot
จีน ชนะในอุตสาหกรรม AI ด้าน Hardware อุปกรณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ โดรน, เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน, รถยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึง Humanoid Robot
โดยมีผู้นำอย่างบริษัท DJI, Huawei, Xiaomi, Haier และ BYD เป็นต้น
ส่วนฝั่งสหรัฐฯ
บริษัทชั้นนำจากสหรัฐฯ จะยังคงความได้เปรียบในอุตสาหกรรม AI ด้าน Software เพราะมีแพลตฟอร์มที่เข้าถึงผู้คนทั่วโลก
บริษัทชั้นนำจากสหรัฐฯ จะยังคงความได้เปรียบในอุตสาหกรรม AI ด้าน Software เพราะมีแพลตฟอร์มที่เข้าถึงผู้คนทั่วโลก
ตั้งแต่โซเชียลมีเดีย, วิดีโอสตรีมมิง, ระบบค้นหาข้อมูล, ระบบจัดการบริษัท, ระบบข้อมูลตัดสินใจ, ระบบ Cybersecurity, ระบบออกแบบกราฟิกภาพเคลื่อนไหว รวมถึง AI Chatbot
สิ่งเหล่านี้ผู้คนทั่วโลกคุ้นเคย และไว้ใจในความเป็น Software อเมริกัน โดยมีผู้นำอย่างบริษัท Meta, Google, Microsoft, Amazon, CrowdStrike และ Salesforce เป็นต้น
ที่สำคัญและเป็นคีย์เพลเยอร์ของอนาคต AI เลย ก็คือ Nvidia ที่ขายชิป AI จนกำไรโตต่อเนื่องและก้าวขึ้นมาเป็น บริษัทแรกในประวัติศาสตร์ ที่มีมูลค่าเกิน 5 Trillion หรือ 156 ล้านล้านบาท
รวมถึง OpenAI ซึ่งนอกจากจะกำลังพัฒนา AI ให้ฉลาดระดับมนุษย์ (AGI) แล้ว
ยังได้ไปร่วมปิดดีลและข้ามไปขยายอิทธิพลในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น
- ร่วมลงทุนมหาศาลในโปรเจกต์พลังงานสะอาด
- เข้าไปลงทุนในธุรกิจ Cybersecurity และ Robotics
- ร่วมลงทุนมหาศาลในโปรเจกต์พลังงานสะอาด
- เข้าไปลงทุนในธุรกิจ Cybersecurity และ Robotics
หรือการทำข้อตกลงประวัติศาสตร์กับ Walt Disney เพื่อนำตัวละครและลิขสิทธิ์ต่าง ๆ มาสร้างสรรค์ผลงานผ่าน Sora โมเดล AI Video Generation ที่สามารถเปลี่ยนข้อความให้กลายเป็นภาพเคลื่อนไหวที่สมจริง
ส่วนประเทศอื่น ๆ ยังคงตามหลังสหรัฐฯ และจีน ในเรื่อง AI อยู่พอสมควร
ทำให้ทั้ง 2 ยักษ์นี้ จะยังเติบโตได้อีกมาก จากความได้เปรียบเรื่อง AI
ทำให้ทั้ง 2 ยักษ์นี้ จะยังเติบโตได้อีกมาก จากความได้เปรียบเรื่อง AI
4. ความซบเซาของ SET Index
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ประเทศไทยนั้นถูกขับเคลื่อนด้วยธุรกิจที่เป็น Old Economy ซึ่งต่างจากสหรัฐฯ และจีน ที่ขับเคลื่อนประเทศด้วยบริษัทเทคและนวัตกรรม
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ประเทศไทยนั้นถูกขับเคลื่อนด้วยธุรกิจที่เป็น Old Economy ซึ่งต่างจากสหรัฐฯ และจีน ที่ขับเคลื่อนประเทศด้วยบริษัทเทคและนวัตกรรม
ทำให้ SET Index ไทยบ้านเรา ก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งปีที่ซบเซา เนื่องจากผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี ติดลบ 9.7% ทำให้นักลงทุนไทยต่างผิดหวังกันเป็นแถว และเดินหายออกไปจากตลาดไม่น้อย หรือไปลงทุนหุ้นนอกแทน
ในภาวะที่หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับสูง ท่ามกลางกำลังซื้อหดตัว และต้นทุนธุรกิจที่มีความเสี่ยงว่าจะมากขึ้น
แม้หุ้นไทยจะมีความน่าสนใจในแง่ของการปันผล และมูลค่าพื้นฐาน
แต่ปัจจุบันไม่ได้มีเม็ดเงินใหม่เข้ามาลงทุนมากนัก โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ ที่อาจมีตัวเลือกการลงทุนในประเทศอื่น ที่น่าสนใจกว่า ในเชิงเปรียบเทียบ
ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดของการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทย เพราะถึงแม้หุ้นดี แต่หากไม่มีสภาพคล่องรองรับ และเม็ดเงินมหาศาลเข้ามา ราคาหุ้นก็คงไม่ไปไหน
ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดของการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทย เพราะถึงแม้หุ้นดี แต่หากไม่มีสภาพคล่องรองรับ และเม็ดเงินมหาศาลเข้ามา ราคาหุ้นก็คงไม่ไปไหน
5. Alternative Assets
น่าตกใจไม่น้อยที่ปี 2025 นี้ ดัชนี S&P 500 ทำผลตอบแทนได้กว่า 18%
น่าตกใจไม่น้อยที่ปี 2025 นี้ ดัชนี S&P 500 ทำผลตอบแทนได้กว่า 18%
แต่ทองคำ กลับให้ผลตอบแทนเกิน 70%
หรือมากกว่า 3 เท่าของดัชนี S&P 500 เลยทีเดียว
หรือมากกว่า 3 เท่าของดัชนี S&P 500 เลยทีเดียว
ทำให้นักลงทุนในหุ้นปวดใจไม่น้อย ที่พยายามวิเคราะห์ศึกษา Model ธุรกิจมากมาย แต่ดันได้ผลตอบแทนน้อยกว่าทองคำเสียอย่างนั้น
ล่าสุดราคาทองคำโลก ได้ทำ All-Time High โดยราคาทะลุ 4,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์
ซึ่งการที่ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ได้รับแรงหนุนจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น
และแบงก์ชาติทั่วโลก โดยเฉพาะจีน ต่างก็พากันซื้อทองคำเก็บเข้าคลังมากขึ้นเพื่อลดการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐ
ทำให้นักลงทุนหันมาเน้นลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมากขึ้นเพื่อ Diversify และป้องกันความเสี่ยง
สุดท้าย ถ้าจะให้นิยามปี 2025 สั้น ๆ
ก็คงต้องบอกว่า เป็นปีแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ ตั้งแต่สงครามภาษี การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐฯ-จีน
ก็คงต้องบอกว่า เป็นปีแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ ตั้งแต่สงครามภาษี การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐฯ-จีน
รวมถึงเหตุการณ์ที่ ทองคำกลับมาตื่นตัว ได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
และทุกเหตุการณ์ ล้วนจะส่งผลต่อเนื่องไปยังปี 2026
ที่น่าจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ที่แม้แต่บริษัทใหญ่ระดับโลกก็ต้องปรับตัว และ Lean องค์กรมากยิ่งขึ้น
ที่น่าจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ที่แม้แต่บริษัทใหญ่ระดับโลกก็ต้องปรับตัว และ Lean องค์กรมากยิ่งขึ้น
ครั้งหนึ่งคุณวอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยพูดไว้ประมาณว่า
อย่าเสียเวลาไปทำนายว่าฝนจะตก น้ำจะท่วมเมื่อไร เพราะไม่มีใครตอบได้ สิ่งสำคัญคือ เมื่อน้ำท่วม เราได้ต่อเรือไว้แล้วหรือยัง ?
อย่าเสียเวลาไปทำนายว่าฝนจะตก น้ำจะท่วมเมื่อไร เพราะไม่มีใครตอบได้ สิ่งสำคัญคือ เมื่อน้ำท่วม เราได้ต่อเรือไว้แล้วหรือยัง ?
หมายความว่า เราไม่ควรเสียเวลาไปทำนายอนาคตที่จะเกิดขึ้น เพราะเราไม่มีทางทายถูกได้ 100%
สิ่งที่สำคัญกว่า คือการเตรียมตัวพร้อมรับมือเมื่อวิกฤติเกิดขึ้นต่างหาก
สิ่งที่สำคัญกว่า คือการเตรียมตัวพร้อมรับมือเมื่อวิกฤติเกิดขึ้นต่างหาก
แต่ความผันผวนต่าง ๆ ที่บรรดานักลงทุนในยุคปัจจุบันต้องเจอ ก็อาจต้องเพิ่มอีกคำถามต่อท้ายไปว่า
การเตรียมตัวรับวิกฤติของเรานั้น แข็งแกร่งพอจะรับมือกับความผันผวนในโลกการลงทุนยุคใหม่ ได้หรือเปล่า..
References
-https://www.reuters.com/business/fed-expected-cut-rates-may-signal-coming-pause-2025-12-10/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Liberation_Day_tariffs
-https://www.reuters.com/world/india/gold-hits-all-time-high-propelled-by-us-rate-cut-hopes-safe-haven-appeal-2025-12-22/
-https://www.reuters.com/world/india/spot-gold-hits-record-high-2025-12-22/
-https://www.equiti.com/sc-en/news/trade-reviews/gold-hits-record-high-as-fed-policy-and-etf-demand-drive-rally/
-https://www.reuters.com/business/fed-expected-cut-rates-may-signal-coming-pause-2025-12-10/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Liberation_Day_tariffs
-https://www.reuters.com/world/india/gold-hits-all-time-high-propelled-by-us-rate-cut-hopes-safe-haven-appeal-2025-12-22/
-https://www.reuters.com/world/india/spot-gold-hits-record-high-2025-12-22/
-https://www.equiti.com/sc-en/news/trade-reviews/gold-hits-record-high-as-fed-policy-and-etf-demand-drive-rally/