สรุป “Sogo Shosha” กลุ่มบริษัทที่เป็น เส้นเลือดใหญ่ ของญี่ปุ่น

สรุป “Sogo Shosha” กลุ่มบริษัทที่เป็น เส้นเลือดใหญ่ ของญี่ปุ่น

10 ก.ย. 2020
สรุป “Sogo Shosha” กลุ่มบริษัทที่เป็น เส้นเลือดใหญ่ ของญี่ปุ่น /โดย ลงทุนแมน
“Sogo Shosha” หลายคนอาจจะไม่รู้จักคำนี้
ซึ่งคำแปลกๆ ที่ว่านี้เอง ที่เป็นชื่อเรียกของกลุ่มบริษัทที่มีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจประเทศญี่ปุ่น
สำคัญถึงขนาดที่ ทำให้นักลงทุนอันดับหนึ่งของโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นกลุ่ม Sogo Shosha เป็นเงินมูลค่าเกือบ 2 แสนล้านบาท
Sogo Shosha คือใคร และมีความสำคัญอย่างไรต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์มของแหล่งรวมนักคิด
ที่ช่วยอัปเดตสถานการณ์ ในรูปแบบบทความ วิดีโอ
รวมไปถึงพอดแคสต์ ที่มีให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
ลองใช้กันที่ Blockdit.com/download
╚═══════════╝
คำว่า Sogo Shosha ในภาษาญี่ปุ่น หมายความว่า
บริษัทการค้าที่ทำธุรกิจแบบซื้อมาขายไป หรือที่เรียกกันว่า “บริษัทเทรดดิ้ง”
ซึ่งบริษัทเหล่านี้ จะเป็นตัวกลางคอยจัดหาสินค้าจากต่างประเทศ มาให้กับผู้บริโภคภายในประเทศ
ฟังแล้วก็ดูเหมือนธุรกิจที่พบเห็นได้ทั่วไป
แต่ทำไมสำหรับญี่ปุ่น บริษัทประเภทนี้จึงมีความสำคัญและจำเป็นต่อระบบเศรษฐกิจ?
ย้อนกลับไปเมื่อกลางศตวรรษที่ 19
ในตอนนั้น ญี่ปุ่นเริ่มเปิดประเทศและปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมครั้งใหญ่
ส่งผลให้การผลิตในภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเติบโตแบบก้าวกระโดด จนตลาดมีความต้องการวัตถุดิบเพิ่มมากขึ้น
แต่ปัญหาคือ สภาพภูมิศาสตร์ของญี่ปุ่น เป็นเกาะที่แยกตัวออกมาจากแผ่นดินใหญ่ ทำให้มีทรัพยากรธรรมชาติค่อนข้างจำกัด
นี่จึงเป็นโอกาสให้คนหลายๆ กลุ่ม ก่อตั้งธุรกิจเทรดดิ้งขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวกลางนำเข้าสินค้าและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
บริษัทเหล่านี้ในญี่ปุ่นจะดำเนินการจัดหาผลิตภัณฑ์แบบครบวงจร ครอบคลุมแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น พลังงาน, แร่ธาตุ, สิ่งทอ, วัสดุก่อสร้าง, อาหาร และสินค้าอื่นๆ อีกมากมาย
ซึ่งถ้ายิ่งนำเข้าสินค้าหรือทรัพยากรจำนวนมากในแต่ละครั้ง ก็จะยิ่งช่วยให้ต้นทุนต่อหน่วยถูกลง และสามารถสร้างอำนาจต่อรองที่แข็งแกร่ง
Sogo Shosha ซึ่งเป็นผู้นำเข้าทรัพยากรรายใหญ่ จึงถือเป็นฟันเฟืองสำคัญที่คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา
โดยเฉพาะช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
กลุ่ม Sogo Shosha ก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ประเทศญี่ปุ่นฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
และมีส่วนในการจัดหาทรัพยากร เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตคุณภาพสูง เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า
ทำให้ต่อมา ญี่ปุ่นได้ก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
ปี 1960 มูลค่า GDP อยู่ที่ 1.3 ล้านล้านบาท
ปี 2019 มูลค่า GDP อยู่ที่ 158 ล้านล้านบาท สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก
ภายในเวลา 59 ปี ญี่ปุ่นได้สร้างเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้นกว่า 120 เท่า
ถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัย
ว่ากลุ่มบริษัท Sogo Shosha ประกอบด้วยบริษัทอะไรบ้าง
และแต่ละบริษัทใหญ่แค่ไหน
เดิมที Sogo Shosha มีอยู่ทั้งหมด 12 บริษัท
แต่ในปี 1990 หลังเกิดภาวะฟองสบู่แตกในตลาดหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่น จึงทำให้บางบริษัทต้องล้มละลาย หรือควบรวมกิจการกัน
ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจ Sogo Shosha มีเหลืออยู่ 7 บริษัท ประกอบไปด้วย
บริษัท ITOCHU Corporation
รายได้ 3.2 ล้านล้านบาท
กำไร 1.4 แสนล้านบาท
มูลค่าบริษัท 1.2 ล้านล้านบาท
บริษัท Mitsubishi Corporation
รายได้ 4.3 ล้านล้านบาท
กำไร 1.5 แสนล้านบาท
มูลค่าบริษัท 1.1 ล้านล้านบาท
บริษัท Mitsui & Co.
รายได้ 2.0 ล้านล้านบาท
กำไร 1.1 แสนล้านบาท
มูลค่าบริษัท 9.5 แสนล้านบาท
บริษัท Sumitomo Corporation
รายได้ 1.5 ล้านล้านบาท
กำไร 5.0 หมื่นล้านบาท
มูลค่าบริษัท 5.0 แสนล้านบาท
บริษัท Marubeni Corporation
รายได้ 2.0 ล้านล้านบาท
ขาดทุน 5.7 หมื่นล้านบาท
มูลค่าบริษัท 3.2 แสนล้านบาท
บริษัท Toyota Tsusho Corporation
รายได้ 1.9 ล้านล้านบาท
กำไร 3.9 หมื่นล้านบาท
มูลค่าบริษัท 3.1 แสนล้านบาท
บริษัท Sojitz Corporation
รายได้ 5.1 แสนล้านบาท
กำไร 1.7 หมื่นล้านบาท
มูลค่าบริษัท 8.5 หมื่นล้านบาท
จะเห็นว่า รายได้ของ 7 บริษัทนี้ รวมกันอยู่ที่ประมาณ 15.4 ล้านล้านบาท (ใกล้เคียงกับ GDP ไทยทั้งประเทศ) ขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าในญี่ปุ่น ปีล่าสุดอยู่ที่ 22.8 ล้านล้านบาท
หรือก็คือ รายได้ของกลุ่ม Sogo Shosha คิดเป็น 68% ของมูลค่าการนำเข้าสินค้าทั้งหมดของญี่ปุ่น
ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่น่าสนใจนี้
ทำให้เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ที่ผ่านมา
Berkshire Hathaway บริษัทของวอร์เรน บัฟเฟตต์
ได้ประกาศลงทุนในกลุ่ม Sogo Shosha ด้วยเงินสูงถึง 195,000 ล้านบาท
ซึ่ง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ได้เปิดเผยว่า
ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ได้เข้าซื้อหุ้น 5 บริษัท ที่เป็นกลุ่ม Sogo Shosha
ได้แก่ ITOCHU, Mitsubishi, Mitsui & Co., Sumitomo และ Marubeni ในสัดส่วนแห่งละประมาณ 5%
และอาจเพิ่มเป็น 9.99% หากได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท
ซึ่ง วอร์เรน บัฟเฟตต์ คงวิเคราะห์แล้วว่า หากเศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวดีขึ้นในอนาคต
คนที่จะได้ประโยชน์ ก็คงหนีไม่พ้นเหล่าบริษัท Sogo Shosha นั่นเอง
จากเรื่องราวนี้จะเห็นได้ว่า
ปัญหาสำคัญของประเทศญี่ปุ่น
คือต้องพึ่งพาทรัพยากรจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก
และการที่จะนำเข้าทรัพยากรเหล่านั้นให้ได้ราคาถูก
ก็ต้องพึ่งพาคนที่มีอำนาจในการต่อรอง ซึ่งคนที่ทำหน้าที่นี้ได้ดีก็คือกลุ่มบริษัท Sogo Shosha
จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ จึงเป็นเหตุผลทำให้ Sogo Shosha เป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่ ที่คอยหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ และเป็นสิ่งที่คนญี่ปุ่นขาดไม่ได้ นั่นเอง..
----------------------
Blockdit เป็นแพลตฟอร์มของแหล่งรวมนักคิด
ที่ช่วยอัปเดตสถานการณ์ ในรูปแบบบทความ วิดีโอ
รวมไปถึงพอดแคสต์ ที่มีให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
ลองใช้กันที่ Blockdit.com/download
----------------------
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.