กรณีศึกษา Twitter

กรณีศึกษา Twitter

6 พ.ย. 2017
กรณีศึกษา Twitter / โดย เพจลงทุนแมน
หลายคนคงรู้จักว่า Twitter คืออะไร
แต่คงไม่ใช่ทุกคนที่เล่น Twitter
แค่ประโยคนี้ก็อาจจะสื่อถึงแนวโน้มธุรกิจ Social Media รายนี้ได้เป็นอย่างดี
เพราะตอนนี้อนาคตของ Twitter กำลังถูกตั้งคำถาม
Twitter เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภท Microblog ที่แสดงข้อความสั้นๆ ความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร โดยตั้งชื่อมาจากคำว่า Tweet ที่แปลว่าเสียงนกร้อง Logo ของบริษัทจึงเป็นรูปนก
บริษัทก่อตั้งขึ้นเมื่อ 21 มีนาคม 2006 โดย Jack Dorsey, Noah Glass, Biz Stone และ Evan Williams ในช่วงแรกมีการเติบโตที่สูงมาก ตามกระแสของสังคมออนไลน์ขณะนั้น
โดยจำนวนผู้ใช้บริการเมื่อปี 2008 มีอยู่เพียง 6 ล้านราย แต่ 5 ปีถัดมา ในปี 2012 เพิ่มเป็น 185 ล้านราย และ 10 ปีถัดมา ในปี 2017 เพิ่มเป็น 328 ล้านราย
Twitter นั้นตอบโจทย์ในเรื่องความรวดเร็วในการนำเสนอ และติดตามเรื่องราว ข่าวสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การเมือง การเลือกตั้ง การแข่งขันกีฬา
แต่ที่น่าสนใจมากที่สุดสำหรับชาวเน็ต เห็นจะเป็นเรื่องของดารา ดูได้จาก 5 อันดับ บัญชีที่มีคนติดตามมากที่สุด ได้แก่ 1. Katy Perry 2. Justin Bieber 3. Barack Obama 4. Taylor Swift และ 5. Rihanna
นอกจากนี้ Twitter ยังเป็นต้นกำเนิดของนวัตกรรมสิ่งหนึ่งคือ # (Hashtag) ที่ไว้จัดกลุ่มเรื่องราวให้เราได้ติดตามง่ายขึ้น โดยครั้งแรกที่มีการใช้ # คือเมื่อปี 2007
จำนวนคนใช้ดูเติบโตดี มาลองส่องผลประกอบการกัน
บริษัทมีรายได้หลักจากค่าโฆษณา เหมือนกับธุรกิจ Social Media อื่นๆ โดยคิดเป็น 85% ของรายได้ ซึ่งผลการดำเนินงานย้อนหลังเป็นดังนี้
ปี 2014 รายได้ $1,403 ล้าน ขาดทุน $578 ล้าน
ปี 2015 รายได้ $2,218 ล้าน ขาดทุน $521 ล้าน
ปี 2016 รายได้ $2,530 ล้าน ขาดทุน $457 ล้าน
ปี 2017 ครึ่งปีแรก รายได้ $1,122 ล้าน ขาดทุน $178 ล้าน
ถึงแม้ว่าบริษัทจะแสดงตัวเลขขาดทุนในบัญชี แต่จริงๆแล้วบริษัทเริ่มมีกระแสเงินสดที่เป็นบวก เพราะในทางบัญชีจะบันทึกค่าตอบแทนเป็นหุ้นให้กับพนักงานเป็นจำนวนมาก แต่จริงๆแล้วบริษัทไม่ได้จ่ายเงินสดในรายการนี้
เรื่องก็ดูเหมือนจะเริ่มดี แต่ในตอนนี้ Twitter ยังประสบปัญหาการเติบโตของรายได้ด้วย โดยในครึ่งแรกของปี 2017 รายได้จากค่าโฆษณา อยู่ที่ $963 ล้าน ลดลงเกือบ 10% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน
เกิดอะไรขึ้นกับ Twitter?
Twitter แม้ช่วงต้น กิจการดำเนินไปได้ด้วยดี แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง กลับไม่สามารถรักษาระดับการเติบโตได้เหมือนเดิม ดูได้จากตัวเลข Active User ทั่วโลก เทียบกับคู่แข่งในธุรกิจเดียวกันอย่าง Facebook หรือ Instagram ดังนี้
จำนวน Active Users
ปี 2013 Twitter 241 ล้าน / Facebook 1,228 ล้าน / Instagram 150 ล้าน
ปี 2014 Twitter 288 ล้าน / Facebook 1,393 ล้าน / Instagram 300 ล้าน
ปี 2015 Twitter 305 ล้าน / Facebook 1,591 ล้าน / Instagram 400 ล้าน
ปี 2016 Twitter 319 ล้าน / Facebook 1,860 ล้าน / Instagram 600 ล้าน
ปี 2017 Q1 Twitter 328 ล้าน / Facebook 1,936 ล้าน / Instagram 700 ล้าน
ปี 2017 Q2 Twitter 328 ล้าน / Facebook 2,006 ล้าน / Instagram 800 ล้าน
จะเห็นว่าล่าสุดจำนวนผู้ใช้ Twitter ไม่โตเลย ขณะที่ Facebook แม้ฐานผู้ใช้สูงอยู่แล้วแต่ยังมีคนเล่นเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังถูกคนมาทีหลังอย่าง Instagram แซงไปได้อย่างขาดลอย
จุดอ่อนที่ใหญ่หลวงของ Twitter คือ Feature ดูจะไม่เหมาะสำหรับการใช้งานของคนทั่วไป ส่วนมากผู้ที่ส่งข้อความบ่อยๆจะเป็น ดารา นักข่าว นักการเมือง ที่มีคนติดตามเยอะ ขณะที่คนธรรมดาทั่วไป การใช้งาน Twitter เพื่อปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ดูจะเหงาเกินไป เมื่อเทียบกับ platform อื่น คนจึงใช้แค่ไว้ติดตามเหตุการณ์ต่างๆเท่านั้น บริษัทจึงไม่สามารถขยายฐานความนิยมเพิ่มขึ้นได้
แม้เมื่อ กันยายน 2017 ที่ผ่านมา Twitter จะขยายพื้นที่ให้สามารถส่งข้อความได้ถึง 280 ตัวอักษรแล้วก็ตาม แต่นั่นก็อาจจะยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ว่า ทำไมคนทั่วไปถึงต้องใช้ Twitter โดยมีการประเมินว่า 60% ของผู้สมัคร จะทิ้ง Account ภายใน 1 เดือน
ส่งผลให้บริษัทต่างๆไม่นิยมลงโฆษณากับ Twitter เพราะเข้าถึงคนได้ไม่กว้างพอเท่า Facebook
ในแง่ของต้นทุน Twitter มีค่าใช้จ่ายในส่วนของ Research & Development สูงถึง $713 ล้าน หรือ 30% ของรายได้ (Facebook อยู่ที่ราว 20% ของรายได้) แต่ไม่สามารถผลักดันสิ่งใหม่ๆให้กับบริการตัวเองได้มากนัก
เนื่องจากรายได้เริ่มไม่โต และต้นทุนสูง แน่นอนว่าต้องมีการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งปลายปี 2016 เราได้เห็นบริษัทปลดคนออก 300 คน หรือ เกือบ 1 ใน 10 ของจำนวนพนักงานเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทจะมีขาดทุนสะสมสูงถึง $2,550 ล้าน แต่เมื่อหักลบกับเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นแล้ว Twitter ยังมีเงินสดอยู่มาก และมีส่วนของ Equity เหลืออยู่ $4,605 ล้าน จึงน่าจะยังอยู่ในวงการนี้ได้อีกนาน
อันที่จริง เมื่อกันยายน 2016 มีข่าวว่าหลายบริษัทสนใจที่จะซื้อกิจการ Twitter เช่น Alphabet (บริษัทแม่ Google), Microsoft, Verizon และ Walt Disney แต่เหมือนการเจรจาจะล่มไป เพราะเป็นห่วงเรื่องชื่อเสียงของ Twitter ในการถูกใช้งานจนเกิดความขัดแย้ง ยกตัวอย่างเช่น การทวีตของประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ถูกตั้งคำถามเรื่องความเหมาะสมอยู่บ่อยครั้ง
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ แล้วราคาหุ้นเป็นอย่างไร?
Twitter (ชื่อย่อ TWTR) เข้าเทรดในตลาดหุ้น New York วันแรกเมื่อ 7 พ.ย. 2013 ด้วยราคา IPO $26 ต่อหุ้น และปิดไปที่ $44.9 ต่อหุ้น ทำให้บริษัทเปิดตัวด้วยมูลค่าสูงถึง $31,000 ล้าน
แต่ต่อมาบริษัทรายงานผลประกอบการ ซึ่งขาดทุนมาทุกปี และมันก็สะท้อนให้เห็นในราคาหุ้น ที่ร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง ต่ำกว่าราคา IPO เสียอีก โดยปัจจุบันหุ้น Twitter ซื้อขายอยู่ราว $20 ต่อหุ้น (เคยทำจุดต่ำสุดที่ $13.9) ทำให้มูลค่าบริษัทลดลงเหลือเพียง $14,800 ล้าน
สรุปได้ว่า Twitter อาจจะประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง กับการสร้างธุรกิจขึ้นมา แต่ถือว่ายังล้มเหลวในแง่ของการเงิน
ข้อคิดของเรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องการทำธุรกิจ startup ที่เราจะได้ยินบ่อยครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา
ชื่อ startup น่าจะฟังดูหอมหวาน ดึงดูดให้คนรุ่นใหม่ใครๆก็อยากเป็นเจ้าของ startup
แต่ทุกคนต้องยอมรับความจริงว่า มีบริษัท startup ที่เป็นผู้ชนะจริงๆไม่มาก
ในโลกธุรกิจ startup
ดูเหมือนว่าผู้ชนะจะกวาดไปหมด
และ ไม่เหลือที่ยืนให้ลำดับต่อไปเลย
ดังคำที่ว่า
WINNER TAKES ALL, LOSER STANDS SMALL..
----------------------
<ad> ถ้าเรามีบ้าน หรือ คอนโด ที่ผ่อนกับธนาคารอยู่ แต่อยากลดดอกเบี้ย หรือ ยืดเวลาผ่อน มารีไฟแนนซ์ กับ REFINN ฟรีได้ที่ https://goo.gl/2KgGWa
----------------------
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.