กรณีศึกษา ARM Holdings หุ้นชิป ที่มีกำไรขั้นต้น 97% มีโมเดลธุรกิจแบบไหน ?

กรณีศึกษา ARM Holdings หุ้นชิป ที่มีกำไรขั้นต้น 97% มีโมเดลธุรกิจแบบไหน ?

กรณีศึกษา ARM Holdings หุ้นชิป ที่มีกำไรขั้นต้น 97% มีโมเดลธุรกิจแบบไหน ? /โดย ลงทุนแมน
ถ้าถามว่า มีธุรกิจไหนในโลกใบนี้ ที่ขายสินค้า 100 บาทแล้ว เหลือเป็นกำไรขั้นต้น 90 บาทขึ้นไป เราคงนึกไม่ออกแน่ ๆ ว่าต้องเป็นบริษัทแบบไหน ทำธุรกิจอะไร
แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ ว่ามีหุ้นบริษัทชิปตัวหนึ่ง ที่ทำกำไรขั้นต้นในทางบัญชี สูงมากถึงระดับ 97%
หุ้นชิปนั้นก็คือ ARM Holdings
ถ้าเราไปดูงบของ ARM ตั้งแต่เข้า IPO เราจะเห็นว่า
รายได้ทุก ๆ 100 บาทของ ARM หักต้นทุนขายเพียงแค่ 3 บาท
และจะมีกำไรขั้นต้น ในระดับ 97 บาทเลยทีเดียว
แล้วโมเดลธุรกิจของ ARM นั้นเป็นอย่างไร ทำไมมีอัตรากำไรขั้นต้น สูงแบบนี้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
รู้หรือไม่ ? ธุรกิจของ ARM ไม่ได้ออกแบบชิปเองทั้งหมด แล้วก็ไม่ได้ผลิตชิปเอง
แต่ ARM จะออกแบบสถาปัตยกรรมชิป หรือ “พิมพ์เขียว”
โดย ARM จะขายสิทธิ์ในการใช้งาน หรือ Licenses ให้กับลูกค้า แล้วเก็บค่า Royalty Fee หรือค่าธรรมเนียม จากการขายสิทธิ์การใช้งานนี้
ซึ่งสถาปัตยกรรมชิปของ ARM ถือเป็นต้นขั้วของดิไซน์ชิป ที่บริษัทผู้ออกแบบชิปมูลค่าระดับล้านล้านบาท อย่าง Apple, Samsung, NVIDIA, Qualcomm หรือ Broadcom
จำเป็นต้องซื้อสิทธิ์ในการใช้ต้นขั้วจาก ARM เพื่อนำไปออกแบบและพัฒนาชิปของตัวเองต่อ
ถ้าให้พูดถึงคู่แข่งของสถาปัตยกรรม ARM ในอดีตก็คือ สถาปัตยกรรม X86 ของบริษัท Intel
โดยแรกเริ่มเดิมที กลุ่มคอมพิวเตอร์ PC ไปจนถึงคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป ในช่วงยุค 1990s-2000s จะนิยมใช้สถาปัตยกรรม X86 ของ Intel เป็นหลัก
จุดเด่นของสถาปัตยกรรม X86 คือมีความเร็วในการประมวลผลสูง สามารถประมวลผลคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนได้
แต่สถาปัตยกรรม X86 กลับมีข้อเสียเพียงจุดเดียวคือ มันกินพลังงานเยอะ และตัวชิปจะร้อนได้ง่าย ไม่เหมาะกับอุปกรณ์เครื่องเล็ก ๆ อย่างโทรศัพท์มือถือ
ซึ่ง ARM ก็ได้เข้ามาแก้ Pain Point ตรงนี้ ด้วยการเริ่มต้นออกแบบสถาปัตยกรรมชิป ที่ทั้งประมวลผลได้แรง แถมประหยัดพลังงานด้วย
จุดเปลี่ยนสำคัญ ที่แจ้งเกิดสถาปัตยกรรมชิปของ ARM ก็เกิดขึ้นในปี 2007 ที่ iPhone รุ่นที่ 1 ได้เปิดตัวเป็นครั้งแรก
โดย iPhone รุ่นแรก อย่าง iPhone 2G เป็นสมาร์ตโฟนที่เข้ามาสร้างความฮือฮาในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการเปิดตัวหน้าจอแบบไร้คีย์บอร์ด แถมสามารถเล่นอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือได้
สมาร์ตโฟนเครื่องเล็ก ๆ นี้ เป็นผู้บุกเบิกการใช้สถาปัตยกรรมของ ARM เพราะความยืดหยุ่นในการประมวลผล และรูปแบบชิปที่ประหยัดพลังงาน ทำให้เครื่องไม่ร้อน
หลังจากที่เปิดตัว iPhone 2G ก็ได้รับผลตอบรับอย่างดี จากลูกค้าทั่วโลก
ค่ายสมาร์ตโฟน รวมถึงผู้พัฒนาชิป ต่างก็ไปใช้สถาปัตยกรรมของ ARM มากขึ้น
เมื่อสถาปัตยกรรมชิปของ ARM ถูกใช้ในสมาร์ตโฟนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ก็ทำให้โปรแกรมเมอร์ อยากเขียนโปรแกรมพัฒนาแอปพลิเคชัน บนสถาปัตยกรรมของ ARM มากขึ้นตามจนเกิดเป็น Network Effect
ปัจจุบัน ARM กินส่วนแบ่งตลาดสถาปัตยกรรมชิป ของชิปสมาร์ตโฟนทั่วโลกไปมากกว่า 99% หรือแทบทั้งหมด
และก็กำลังกินส่วนแบ่งตลาด CPU และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป, Data Center สำหรับ AI ไปจนถึงระบบยานยนต์อัตโนมัติ
เนื่องจาก Network Effect ของอุปกรณ์เทคโนโลยี ที่ใช้สถาปัตยกรรมของ ARM ที่แข็งแกร่ง
ทำให้ทั้งฝั่งผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน และบริษัทผู้ออกแบบชิป ก็อยากหันมาใช้สถาปัตยกรรมของ ARM แทนสถาปัตยกรรม X86 ของ Intel
ซึ่งเราก็จะเห็นได้จากที่ ARM กำลังกินส่วนแบ่งตลาดของ CPU แทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น
- ส่วนแบ่งตลาดอุปกรณ์ไฟฟ้า อย่างคอมพิวเตอร์ PC และกล้องวงจรปิด เพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 35%
- ส่วนแบ่งตลาด Data Center เพิ่มขึ้นจาก 9% เป็น 20%
- ส่วนแบ่งตลาดยานยนต์อัตโนมัติ เพิ่มขึ้นจาก 36% เป็น 44%
(เทียบส่วนแบ่งตลาด มีนาคม 2022 กับ มีนาคม 2025)
เมื่อเห็นภาพรวมของธุรกิจแล้ว เราลองไปดูโครงสร้างรายได้ของ ARM กัน
ปี 2025 ARM Holdings (ปิดงบเดือนมีนาคม 2025)
มีรายได้ 129,546 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 25,526 ล้านบาท
โดยรายได้หลักของ ARM Holdings ก็มาจาก 2 ทาง นั่นก็คือ
- ค่า Licenses 59,271 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 46%
- ค่า Royalty Fee 69,875 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 54%
ทีนี้ เราลองไปดูรายได้แต่ละส่วน
ส่วนที่ 1 คือ รายได้จากค่า Licenses หรือรายได้ค่าลิขสิทธิ์ ที่ลูกค้าผู้ออกแบบชิปจ่ายแค่ครั้งเดียว
ซึ่งเงินก้อนนี้ ถือเป็นเงินก้อนใหญ่ที่บริษัทผู้ออกแบบชิป อย่าง NVIDIA และ Apple ต้องจ่ายให้ ARM
ก่อนที่ ARM จะนำเงินก้อนนี้ ไปเป็นทุนในการวิจัยและพัฒนาสถาปัตยกรรมชิป แล้วนำไปจดสิทธิบัตรเพื่อขายสิทธิ์ในการใช้งานต่อ
ส่วนที่ 2 คือ รายได้จากค่า Royalty Fee หรือเงินค่าธรรมเนียมที่ลูกค้าต้องจ่าย ต่อจำนวนครั้งที่ผลิต
รายได้จากค่า Royalty Fee ก็จะเพิ่มมากขึ้น ตามจำนวนชิปที่ลูกค้าอย่าง NVIDIA และ Apple ได้ทำการสั่งผลิตออกมา
ซึ่งรายได้จากค่า Royalty Fee นั้น เป็นรายได้ที่ ARM สามารถเก็บกินจากลูกค้าได้ฟรี ๆ เป็น 10-20 ปี.. ตราบใดที่บริษัทชิป ยังผลิตโดยใช้เทคโนโลยี หรือสิทธิบัตรตัวใดตัวหนึ่งของ ARM อยู่
ที่น่าสนใจคือ ในปี 2025 รายได้จากค่า Royalty Fee ของ ARM ประมาณ 15-20%
มาจากสิทธิบัตรที่ ARM ได้คิดค้นขึ้น และขายสิทธิ์ให้กับลูกค้าก่อนปี 2011 หรือเมื่อราว ๆ 14 ปีก่อน
และ ARM ก็ยังสามารถเก็บรายได้จากค่า Royalty Fee ต่อไปได้อีกเรื่อย ๆ
ถ้าลูกค้ายังผลิตชิปโดยใช้สิทธิบัตรตัวเดิมของ ARM ต่อ
เมื่อเราเห็นโครงสร้างรายได้แล้ว ทีนี้เราไปดูต้นทุนค่าใช้จ่ายกันบ้าง
โดยรายได้ของ ARM ทุก ๆ 100 บาท
- มีต้นทุนขาย 3 บาท
- เหลือเป็นกำไรขั้นต้น 97 บาท
ในกำไรขั้นต้น 97 บาท หัก
- ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนา (R&D) 51.7 บาท
- ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 24.6 บาท
- เหลือเป็นกำไรจากการดำเนินงาน 20.7 บาท
เมื่อหักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ รวมถึงดอกเบี้ยแล้ว ก็จะเหลือเป็นกำไรสุทธิให้กับ ARM 19.8 บาท
ซึ่งถ้าให้พูดโดยสรุปเลยคือ
แม้ ARM จะมีอัตรากำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit Margin อยู่ที่ 97% แล้ว
ARM มีอัตรากำไรสุทธิ หรือ Net Profit Margin จริง ๆ อยู่ที่ 19.8%
จากตรงนี้เราก็จะเห็นว่า ต้นทุนก้อนใหญ่ที่สุดของ ARM “ไม่ใช่ต้นทุนขาย” หรือต้นทุนที่ให้ได้มาซึ่งสินค้าโดยตรง
เพราะ ARM ไม่ได้มีสินค้าที่เป็นรูปธรรม อย่าง แผ่นชิป หรืออุปกรณ์ใด ๆ
แต่ ARM กลับมีสินค้าที่เป็น Know-How หรือเป็นสิทธิบัตร ที่ไม่สามารถจับต้องได้ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมูลค่ามหาศาล เพื่อให้ลูกค้าบริษัทชิปอื่น ๆ สามารถนำไปใช้ออกแบบ และผลิตต่อได้เลย
ดังนั้นจึงไม่แปลก ที่ต้นทุนขาย หรือต้นทุนในการได้มาของสินค้าที่เป็นรูปธรรมนั้น แทบจะเป็น 0 เลย
แต่ต้นทุนก้อนใหญ่ที่สุดของ ARM กลับไปบวมที่ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนา หรือ R&D
โดยมีสัดส่วนมากถึง 51.7% หรือมากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้เลยทีเดียว
เหตุผลที่ ARM มีค่าใช้จ่ายในการ R&D ที่เยอะมากขนาดนี้ นั่นก็เพราะว่า ARM จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล เพื่อพัฒนาสถาปัตยกรรมชิปใหม่ ๆ ที่สามารถประมวลผลได้รวดเร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ
แล้วนำสิ่งที่วิจัยและพัฒนานั้น มาต่อยอดจดสิทธิบัตร และขายสิทธิในการใช้ให้กับลูกค้าบริษัทชิป ที่ต้องการนำไปใช้ออกแบบต่อ
และต้นทุนด้าน R&D นั้น ก็ถือเป็นท่อน้ำเลี้ยงหลักของ ARM ที่ขาดไม่ได้
เพราะถ้า ARM ตัดต้นทุนทางด้าน R&D ออก
ก็เท่ากับว่า ARM ไม่ได้วิจัยและพัฒนาสถาปัตยกรรมชิปใหม่ ๆ ออกมาเลย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัท
แล้วก็จะทำให้เทคโนโลยี ที่เป็นกระดูกสันหลังของสถาปัตยกรรมชิปของสมาร์ตโฟน
และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก ต้องหยุดชะงักลง
และที่สำคัญ สำหรับธุรกิจของ ARM นั้น
ค่าใช้จ่ายด้าน R&D ก็เป็นหนึ่งใน Indicator หลัก ที่นักลงทุนจะต้องพิจารณาเป็นอันดับแรก ๆ
นั่นก็เพราะว่า ค่าใช้จ่ายด้าน R&D ถือเป็นต้นทุนหลักของ ARM
ที่บ่งบอกถึงแนวโน้มปริมาณที่ลูกค้า ซึ่งเป็นบริษัทผู้ออกแบบและผลิตชิป เข้ามาขอซื้อสิทธิในการใช้งาน
ซึ่งยิ่งถ้าค่าใช้จ่าย ในการวิจัยและพัฒนาของ ARM มาก
ก็มีแนวโน้มว่า จำนวนสิทธิบัตรและมูลค่าสิทธิบัตรต่าง ๆ ก็จะมากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
และเมื่อ ARM มีจำนวนสิทธิบัตรและมูลค่าสิทธิบัตรที่มากขึ้น
ก็จะทำให้ในอนาคต อีกประมาณ 3-5 ปีข้างหน้า ที่เมื่อลูกค้าสามารถออกแบบชิปได้สำเร็จ พร้อมที่จะนำไปผลิตเป็น Mass Production แล้ว
ARM ก็จะสามารถเก็บรายได้จากค่า Royalty Fee ได้อีกต่อหนึ่งด้วย..
ทั้งหมดนี้ ก็เป็นสรุปภาพรวมของโมเดลธุรกิจ ARM Holdings ที่แปลกและไม่เหมือนกับบริษัทชิปอื่น ๆ
โดย ARM ก็ไม่ได้ออกแบบชิปเอง ไม่ได้ผลิตชิปเอง แต่เป็นผู้เริ่มต้นขายสิทธิในการใช้งานสถาปัตยกรรมชิป ซึ่งเป็นแบบชิปต้นขั้ว ที่ลูกค้าสามารถนำไปออกแบบได้ต่อ
จึงทำให้ต้นทุนขาย หรือต้นทุนที่ทำให้ได้สินค้าของ ARM นั้นมีน้อยมาก
แต่จะไปหนักทางต้นทุนด้าน R&D แทน
และนี่ก็เป็นเหตุผล ที่รายได้ของ ARM ทุก ๆ 100 บาท เหลือเป็นกำไรขั้นต้น 97 บาทนั่นเอง..
References
- Arm Holdings plc Q1 FYE26 Investor Presentation
- https://newsroom.arm.com/blog/arm-official-history

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon