กรณีศึกษา กะทิชาวเกาะ

กรณีศึกษา กะทิชาวเกาะ

16 ธ.ค. 2017
กรณีศึกษา กะทิชาวเกาะ / โดย ลงทุนแมน
รู้ไหมว่า ผู้ส่งออกกะทิสำเร็จรูปอันดับ 1 ของโลกคือบริษัทของคนไทย
และเจ้าของจบการศีกษาเพียงแค่ชั้น ป.4
แต่ด้วยความมานะบากบั่น ต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรค
ทำให้วันนี้คุณจรีพร เทพผดุงพร เจ้าของกะทิชาวเกาะ สร้างธุรกิจที่มีรายได้เกือบหมื่นล้านบาท
เธอทำได้ยังไง วันนี้ลงทุนแมนจะมาเล่าให้ฟัง
คุณจรีพรเกิดในครอบครัวคนจีน ซึ่งสมัยก่อนคนจีนไม่นิยมมีลูกสาวมากเท่ากับลูกชาย พ่อจึงไม่สนับสนุนให้เรียนหนังสือมากนัก เธอจึงได้เรียนจบเพียงชั้นป.4 โดยที่ชีวิตโดยส่วนใหญ่ในวัยเด็กต้องทำงานทุกอย่างของครอบครัวบางครั้ง ต้องพายเรือจากบางขวางถึงบางแค ตวงข้าวเปลือก ข้าวสารและน้ำมันก๊าดขาย
สมัยเรียนตอนเด็กๆ คุณจรีพรไม่ค่อยมีเงินมากนัก ถึงขนาดไปเก็บดินสอสั้นๆ ที่เขาทิ้งไว้ตามใต้ถุนโรงเรียนเพื่อหาหญ้าปล้องมาต่อด้ามให้ยาวพอที่จะจับเขียนได้
จนเมื่อเธออายุ 19 ปี มีญาติคนหนึ่งได้แนะนำคุณอำพล เทพผดุงพร ให้พ่อรู้จักเพื่อขอเธอแต่งงาน โดยที่พ่อของคุณจรีพรไม่ถามลูกสาวสักคำ แต่พ่อดูจากโหงวเฮ้งและเป็นคนขยัน จึงได้ยกลูกสาวให้ คุณจรีพรเล่าว่าตอนนั้นน้ำตาไหล เพราะไม่ได้ถามความสมัครใจเธอ สุดท้ายเธอจึงต้องแต่งงานกับคุณอำพล
หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็เริ่มขายมะพร้าว โดยที่แต่ละวันเธอต้องพายเรือขายมะพร้าว ตั้งแต่เช้าถึงเย็น สวมเสื้อแขนยาว สวมงอบ (คล้ายหมวกใหญ่ๆ) กันแดด กันฝน ส่วนคุณอำพลทำหน้าที่ขายส่งอยู่ในเมือง
กิจการขายมะพร้าวของทั้งคู่เริ่มไปได้ดี บางวันขายได้วันละ 3-4 พันลูก ขายตั้งแต่ตี 4 ถึง 4 ทุ่มแทบทุกวัน แม้จะเหนื่อยแต่ก็มีรายได้ดี สามารถส่งลูกไปเรียนเมืองนอกได้ จนต่อมาเปิดห้างหุ้นส่วนจำกัดอุดมมะพร้าว และกลายมาเป็นบริษัท เทพผดุงพรมะพร้าว จำกัด ในเวลาต่อมา
ในช่วงที่คุณจรีพรและคุณอำพลขายมะพร้าวลูกนั้น ลูกชายของคุณจรีพร ได้ขอร้องเธอให้มาทำกะทิพาสเจอไรซ์แทน เพราะรายได้จากมะพร้าวลูกเริ่มไม่โตเหมือนสมัยก่อน คุณจรีพรถูกลูกชายอ้อนวอนอยู่เป็นปี จนใจอ่อน ทำให้เธอตัดสินใจลงทุนไปกว่า 3 ล้านบาท สร้างโรงงานชาวเกาะ และจ้างคนงานเกือบ 100 คน
แต่ผลปรากฏว่า ขาดทุน..
เนื่องจากลูกค้ายังยึดติดกับการใช้กะทิสดทำอาหารมากกว่า
ทางฝั่งลูกชายรู้สึกเสียใจมาก ที่เหตุการณ์เป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่ท้อ จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อสร้าง Brand ชาวเกาะ โดยถึงขนาดลงทุนทำโฆษณา ที่ต้องใช้เงินลงทุนกว่า 5 ล้านบาท โดยที่เรื่องนี้ทั้งคุณจรีพรและคุณอำพลไม่รู้มาก่อนมารู้อีกทีตอนต้องจ่ายเงินจำนวนนี้
คุณอำพล โมโหมากถึงขั้นลงไม้ลงมือ รวมทั้งดุลูกว่า ขายมะพร้าวอยู่ดีๆ ทำไมต้องทำให้ครอบครัวเป็นหนี้
แต่คุณจรีพรบอกว่าอย่าไปดุลูก ลูกใช้เงินไปกับการทำงาน ไม่ได้เอาไปเล่นการพนัน เงินเป็นของนอกกาย ถ้าไม่ตายก็หาใหม่ได้
ดังนั้น ทุกคนในครอบครัวจึงมาคุยกันว่า ต้องสู้ ต้องอดทน เงินจะหมดก็หมดไป แต่จะยอมแพ้ไม่ได้ ทำให้เมื่อเวลาผ่านไปกิจการจึงเริ่มอยู่ตัว
ต่อมาลูกของเธอได้แนะนำให้ทำกะทิกระป๋องเพื่อยืดเวลาหมดอายุ ทำให้คุณจรีพรใช้ที่ดินที่มีอยู่เป็นหลักทรัพย์กู้เงินมาเพื่อลงทุนอีก รวมทั้งเริ่มบุกตลาดต่างประเทศจนทำให้ธุรกิจเริ่มเดินหน้า
เมื่อธุรกิจกำลังไปได้ดีแต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อคุณอำพลโดนยิงจนเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุในปี 2529 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ครอบครัวได้ตั้งโรงงานอำพลฟู้ดโพรเซส เธอเสียใจมากแต่ด้วยกำลังใจและความรักจากลูกๆ ก็ช่วยให้เธอผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้เมื่อเวลาผ่านไป
ปัจจุบัน ธุรกิจของกระทิชาวเกาะสามารถผลิตสินค้าที่มีความหลากหลายมากกว่า 200 ชนิด ทั้งกะทิ น้ำจิ้มไก่ น้ำมะพร้าว พริกแกง น้ำมันมะพร้าวและขนม เป็นต้น มีการส่งขายในหลายประเทศเช่น อเมริกา แคนาดา เอเชีย และยุโรป
โรงงานของกระทิชาวเกาะมีกำลังการผลิตกะทิวันละ 2 แสนลิตรและน้ำมะพร้าว 20 ตัน มีส่วนแบ่งตลาด 30-40% ของตลาดกะทิโลกที่มีมูลค่า 7,500 ล้านบาท ขณะที่ตลาดในประเทศ Brand ชาวเกาะ มีส่วนแบ่งประมาณ 40%
ปีที่แล้วกระทิชาวเกาะได้มุ่งสู่ความเป็น Global Brand ด้วยการเซ็นสัญญากับสโมสรลิเวอร์พูล ซึ่งทำให้ผู้บริโภคได้เห็นสินค้าน้ำมะพร้าวของ Brand ชาวเกาะอยู่ในสื่อต่าง ๆ ของสโมสรลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าวของไทยเป็นผู้สนับสนุนสโมสรฟุตบอลระดับโลก
รายได้และกำไรของบริษัท เทพผดุงพรมะพร้าว จำกัด (ผลิตเครื่องปรุงอาหารและประกอบอาหาร)
ปี 2558 รายได้ 5,902 ล้านบาท กำไร 648 ล้านบาท
ปี 2559 รายได้ 6,289 ล้านบาท กำไร 384 ล้านบาท
รายได้และกำไรของบริษัท บริษัท อำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง จำกัด (ผลิตกะทิคั้น เครื่องดื่มธัญพืช บรรจุกล่อง UHT)
ปี 2558 รายได้ 2,706 ล้านบาท กำไร 215 ล้านบาท
ปี 2559 รายได้ 2,832 ล้านบาท กำไร 34 ล้านบาท
และเมื่อไม่นานมานี้ คุณจรีพร ก็ร่วมบริจาคเงินจำนวน 10 ล้านบาทให้แก่โครงการก้าวคนละก้าวของคุณตูน บอดี้สแลม เพื่อซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับ 11 โรงพยาบาลที่ยังขาดแคลน
เธอเชื่อว่าความสุขในชีวิตของคนเรานั้น คือการแบ่งปัน
เธอมองว่าการที่ชีวิตเคยลำบากมาก่อนจนมาถึงวันที่สบายแล้วนั้น เราก็ควรจะช่วยเหลือคนที่ลำบากและด้อยโอกาสกว่าเรา ซึ่งจะช่วยทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น
เรื่องนี้สอนให้เราได้รู้ว่า การที่เราคิดจะทำอะไรแล้วไม่สำเร็จในตอนแรกนั้น อาจจะไม่ใช่เพราะว่าเราไม่ดีพอ
แต่เรื่องบางเรื่องต้องอาศัยเวลาในการพิสูจน์ตัวตน เหมือนที่คุณจรีพร และลูกๆ พิสูจน์ว่ากะทิก็สามารถทำเป็นรูปแบบสำเร็จรูปได้
และถ้าเราสำเร็จแล้ว เราอย่าลืมที่จะแบ่งปันส่วนที่เราพอจะแบ่งปันได้ให้กับสังคม และนั่นก็คงก็คุ้มแล้วที่จะตอบคำถามกับตัวเองว่า คนเราเกิดมาบนโลกนี้เพื่ออะไร..
----------------------
ถ้าชอบเรื่องกะทิชาวเกาะ อ่านกรณีศึกษาของเรื่องที่น่าสนใจอื่นอีกได้ที่ APP ลงทุนแมน โหลดฟรี https://www.longtunman.com/app
----------------------
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.