แกะสูตรเลือกหุ้น เลือก 10 ถูก 2 ทำไมกลยุทธ์นี้ ให้ผลตอบแทนเกือบ 50 เด้ง ภายใน 30 ปี

แกะสูตรเลือกหุ้น เลือก 10 ถูก 2 ทำไมกลยุทธ์นี้ ให้ผลตอบแทนเกือบ 50 เด้ง ภายใน 30 ปี

รู้หรือไม่ว่า ถ้าเราเลือกหุ้น 10 ตัว แล้วในจำนวนนี้
มีหุ้นเพียง 2 ตัวที่สร้างผลตอบแทนทบต้น 20% ต่อปี
ส่วนอีก 8 ตัวคิดผิด จนมีมูลค่าเหลือ 0
ด้วยพลังของดอกเบี้ยทบต้น จะทำให้ในอีก 30 ปีต่อมา
พอร์ตหุ้นของเรา จะมีมูลค่าถึง 50 เท่า จากเงินต้นที่เราลงทุนไป
ซึ่งสูตรเลือก 10 ถูก 2 คุณหลิน วีระพงษ์ ธัม หนึ่งในนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า
ได้หยิบมาพูดในงานลงทุนแมน SUMMIT 2025 ที่ผ่านมา
กลยุทธ์นี้ มีความยากง่ายมากน้อยเพียงใด
แล้ววิธีการเลือกหุ้น 10 ตัว ให้ถูก 2 ตัว หรือมากกว่านี้คืออะไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ต้องบอกว่ากลยุทธ์นี้ เป็นหนึ่งในกฎของ Power Law
อธิบายง่าย ๆ คือเป็นหลักการทางสถิติ ที่พยายามอธิบายว่า
ผลลัพธ์ส่วนใหญ่นั้น ถูกขับเคลื่อนโดยองค์ประกอบส่วนน้อย ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น
- 1% ของจำนวนผลิตภัณฑ์บริษัท สามารถทำยอดขายได้ 40% ของรายได้ทั้งบริษัท
- คนรวยที่สุด 1% ของโลก ถือครองทรัพย์สินประมาณ​ 45% หรือเกือบครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินทั่วโลก
- เว็บไซต์เพียงไม่กี่เว็บ เช่น YouTube, Google, Facebook กินปริมาณ Traffic หรือการเข้าชมส่วนใหญ่ของอินเทอร์เน็ตทั้งหมด
ซึ่งเหตุการณ์สุดโต่งที่เกิดขึ้นนี้ ก็ถูกนำมาใช้เป็นกลยุทธ์การลงทุน ของนักลงทุนชื่อดัง กองทุน หรือ VC ที่ลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัปหลายเจ้า
ซึ่งท่าที่ VC ใช้บ่อย ๆ ก็คือ จะเลือกลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัปสัก 50-100 บริษัท
โดยคาดหวังว่าอาจจะมีสตาร์ตอัปที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ ซุกซ่อนอยู่
แม้จะมีเพียงไม่กี่บริษัท แต่ก็สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับ VC ได้หลายร้อย หรือหลายพันเด้งได้
พูดง่าย ๆ คือ VC จะใช้วิธีลงทุนแบบหว่านแห เพื่อหาบริษัทที่จะเติบโตเป็นยูนิคอร์น เพียงแค่ไม่กี่บริษัทนั่นเอง
ซึ่งสำหรับนักลงทุนระยะยาว ที่เลือกหุ้นเข้าพอร์ตด้วยตนเอง
ก็มักจะมองหาหุ้นขนาดเล็ก หรือขนาดกลาง ซึ่งมีศักยภาพที่จะเติบโตในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และดันพอร์ตของเราให้เติบโตได้หลายเด้งจากหุ้นไม่กี่ตัวในพอร์ต
ไอเดียของวิธีคิดนี้คือ ให้เลือกหุ้น 10-15 ตัวที่คาดว่าจะเป็นหุ้นผู้ชนะ
โดยในจำนวนนี้ ขอเพียงมีหุ้นที่ชนะเพียง 20% ของพอร์ต หรือก็คือ 2-3 ตัว จากหุ้น 10-15 ตัว ที่จะกลายเป็นผู้ชนะในระยะยาว
เมื่อเราเลือกใช้กลยุทธ์นี้ แล้วถือยาว ๆ เช่น 10-30 ปี ก็สามารถสร้างผลตอบแทนในระดับหลายสิบเท่าเช่นเดียวกัน
แล้วทำไมพลังของผลตอบแทนถึงมากขนาดนั้น สมมติว่า
เราเลือกลงทุนหุ้น 10 ตัว ในราคาตัวละ 100 บาท
- มี 2 ตัวที่เราคิดถูก และหุ้นทั้ง 2 ตัวให้ผลตอบแทน 20% ต่อปี
- มี 8 ตัวที่เราคิดผิด และให้หุ้นทั้ง 8 ตัวมีมูลค่าเหลือ 0
ภายในระยะเวลา 30 ปี
- หุ้น 2 ตัวที่คิดถูก โดยให้อัตราผลตอบแทน 20% ต่อปี ไปเรื่อย ๆ เป็นระยะเวลา 30 ปี
เมื่อเป็นแบบนี้ ก็เท่ากับว่าอัตราผลตอบแทนเงินต้นที่เราใส่ลงไปในหุ้น 2 ตัวโดยเฉลี่ยจะกลายเป็น
20% เมื่อลงทุนไป 1 ปี
44% เมื่อลงทุนไป 2 ปี
149% เมื่อลงทุนไป 5 ปี (หรือมีเงินเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 เท่าของเงินต้น)
619% เมื่อลงทุนไป 10 ปี (หรือมีเงินเพิ่มขึ้นเป็น 6.2 เท่าของเงินต้น)
3,834% เมื่อลงทุนไป 20 ปี (หรือมีเงินเพิ่มขึ้นเป็น 38.3 เท่าของเงินต้น)
23,738% เมื่อลงทุนไป 30 ปี (หรือมีเงินเพิ่มขึ้นเป็น 237.4 เท่าของเงินต้น)
- หุ้น 8 ตัวที่คิดผิด ให้ตีมูลค่าเป็น 0
เมื่อเป็นแบบนี้ เราจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยคือ
- หุ้น 2 ตัวที่คิดถูก จะได้รับผลตอบแทน 237.4 เท่า ภายใน 30 ปี หรือคิดเป็น 200 x 237.4 เท่ากับ 47,480 บาท
- หุ้น 8 ตัวที่คิดผิด จาก 800 บาท ก็จะมีมูลค่าเป็น 0
เท่ากับว่า ถ้าเราเลือกเอาเงิน 1,000 บาท มาแบ่งลงทุนหุ้น 10 ตัว ตัวละ 100 บาทเท่า ๆ กัน
ภายในระยะเวลา 30 ปี ผลตอบแทนจากเงินทุนของเรา จะเท่ากับ 47,480 บาท หรือคิดเป็น 47 เท่า
ซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งพอร์ตที่ 13.8% ต่อปี
หรือสรุปแบบเรียล ๆ เลยคือ
ถ้าเราลงทุนและได้ผลตอบแทนตามกลยุทธ์นี้ ด้วยเงิน 100,000 บาท ภายใน 30 ปี ถ้าเราไม่ทำอะไรกับพอร์ตเลย เราจะมีเงินต้นอยู่ที่ 4,748,000 บาทเลยทีเดียว
ซึ่งนี่ ก็แสดงให้เห็นถึงพลังของดอกเบี้ยทบต้น ที่สามารถสร้างผลตอบแทนมหาศาล ให้กับพอร์ตของเราได้ในระยะยาว
ทีนี้ เราลองมาเปลี่ยนสมมติฐานกันดูบ้าง โดยใช้กลยุทธ์เลือก 10 ถูก 2 เหมือนเดิม
แต่เปลี่ยนจาก 30 ปีไปเป็นผลตอบแทนภายใน 10 ปี หรือ 20 ปี
- ภายใน 10 ปี เราจะได้รับผลตอบแทนเป็น 2.2% ต่อปี หรือคิดเป็น 1.2 เท่าของเงินต้น
- ภายใน 20 ปี เราจะได้รับผลตอบแทนเป็น 10.7% ต่อปี หรือคิดเป็น 7.7 เท่าของเงินต้น
แต่อย่างไรก็ดี ในจำนวนหุ้น 10 ตัวนี้ ถ้าเราทำการบ้านมาอย่างดีแล้ว ว่าหุ้นที่เราเลือก กำลังอยู่ในอุตสาหกรรมขาขึ้น มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแรง มีรายได้และกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แถมมีความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
เราก็จะมีโอกาสเลือกหุ้นได้ถูกมากกว่า 2 ตัว
แถมถ้าเราเลือกหุ้นผิด แต่หุ้นที่เราเลือกนั้นยังคงมีงบการเงินที่แข็งแกร่ง สามารถสร้างรายได้และกระแสเงินสดได้สม่ำเสมอ
ก็จะมีความเป็นไปได้น้อยมาก ๆ ที่หุ้นตัวนั้นจะมีมูลค่าเหลือ 0 จริง ๆ
ทีนี้ถ้าสมมติง่าย ๆ ว่า ให้มี 2 ตัวที่เราคิดถูก สร้างผลตอบแทนกับเรา 20% ต่อปีเหมือนเดิม
และอีก 8 ตัวที่เราคิดผิด จะมีมูลค่าลดลงครึ่งหนึ่ง หรือขาดทุน 50% แล้วไม่เปลี่ยนแปลงและไม่สร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมใด ๆ
เมื่อเวลาผ่านไป แม้ในช่วง 5 ปีแรก พอร์ตจะยังขาดทุน
แต่เมื่อครบ 30 ปี ทั้งพอร์ตจะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ย 13.8% ต่อปี หรือคิดเป็น 47.9 เท่าของเงินต้นเลยทีเดียว
ทั้งหมดนี้ ก็เป็นไอเดียในการบริหารจัดการพอร์ตแบบระยะยาว ซึ่งก็มีนักลงทุนระยะยาวที่ประสบความสำเร็จจำนวนไม่น้อย เลือกใช้วิธีนี้ ไม่ว่าจะเป็น
1. Peter Thiel นักลงทุนรายแรกของ Facebook และผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal
โดยเขาก็เลือกลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัปมากมาย แต่ก็มีเพียงไม่กี่เจ้าที่ประสบความสำเร็จ จนสร้างผลตอบแทนอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น
- ลงทุนให้กับ Meta เจ้าของแพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นตั้งแพลตฟอร์มใหม่ ๆ จนปัจจุบัน ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า 1,000 เท่า
- ลงทุน และก่อตั้งบริษัท Palantir Technologies บริษัทผู้นำด้านฐานข้อมูล และเป็นผู้ออกแบบซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีป้องกันการก่อการร้าย
โดยมูลค่าของ Palantir Technologies ในปัจจุบัน คิดเป็น 21 เท่าของมูลค่าตอน IPO เมื่อปี 2020 หรือเมื่อ 5 ปีก่อน
- ลงทุนใน Airbnb ผู้นำด้านแพลตฟอร์มการจองที่พัก และแชร์ที่พักตัวเองให้ปล่อยเช่า ตั้งแต่ปี 2012 ซึ่ง Peter Thiel ลงทุนใน Airbnb ตั้งแต่การระดมทุนรอบ Series C ซึ่งในตอนนั้น Airbnb ถูกประเมินมูลค่าไว้ที่ 82,000 ล้านบาท
มาจนถึงปัจจุบัน มูลค่าบริษัทของ Airbnb ก็คิดเป็น 30 เท่าของมูลค่าที่ Peter Thiel ลงทุนเมื่อปี 2012
2. Cathie Wood นักลงทุนหญิงผู้จัดการกองทุน ARK
ซึ่งเธอก็เป็นอีกหนึ่งคน ที่เลือกลงทุนในหุ้นแห่งอนาคตมากมาย ผ่านกองทุน ARK แต่ก็มีเพียงไม่กี่ตัวที่ประสบความสำเร็จ จนสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูง
หนึ่งในหุ้นที่โดดเด่น ที่เธอเลือกลงทุนคือ
- Tesla แบรนด์รถยนต์ EV ที่กำลังถูกออกแบบให้ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
โดยกองทุน ARK ของ Cathie Wood ได้ลงทุนหุ้น Tesla เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2016 ซึ่งปัจจุบันหุ้น Tesla ก็สร้างผลตอบแทนให้กับกองทุน ARK ประมาณ 4.5 เท่าของเงินทุนที่ลงทุนไป
- Spotify ผู้นำด้านแพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลง มาตั้งแต่ปี 2018 จนปัจจุบัน Spotify สร้างผลตอบแทนให้กับกองทุน ARK ประมาณ 2.6 เท่าของเงินทุนที่ลงทุนไป
- Roblox แพลตฟอร์มเกมออนไลน์ ที่อนุญาตให้ผู้เล่นสามารถสร้างเกมขึ้นมาเล่นเองได้ โดยกองทุน ARK ได้เริ่มต้นเข้าลงทุนหุ้น Roblox ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2021
จนปัจจุบัน Roblox สร้างผลตอบแทนให้กับกองทุน ARK ประมาณ 2.5 เท่าของเงินทุนที่ลงทุนไป
ปัจจุบันกองทุน ARK สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 19.8% ต่อปี โดยนับจากวันที่จัดตั้งกองทุนเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2017
ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา ก็มีหุ้นที่เรียกว่าเป็นหุ้นศักยภาพ
สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้หลายเท่ามาโดยตลอด
เราไปดูหุ้นเหล่านี้กัน ว่าถ้าเราเลือกลงทุนเมื่อปี 2005 หรือเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
หุ้นเหล่านี้จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเท่าไร
- Nvidia มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 900 เท่า
- Netflix มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 744 เท่า
- Apple มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 153 เท่า
- Amazon มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 127 เท่า
- Google มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 48 เท่า
- Microsoft มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 21 เท่า
ทั้งหมดนี้ก็เป็นตัวอย่างว่า ถ้าเราเลือกลงทุนหุ้นเหล่านี้ในระยะยาว หุ้นเหล่านี้ก็จะสร้างผลตอบแทนให้กับเราอย่างมหาศาล
แต่อย่างไรก็ตาม ในการเลือกหุ้นลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับเราหลาย ๆ เท่านั้น ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย
โดยการพิจารณาเลือกหุ้นเล็ก ๆ สักตัว เราก็ต้องดูองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง อย่างเช่น
- หุ้นตัวนี้ตามเทรนด์อุตสาหกรรมหรือไม่
- ราคาปัจจุบัน แพงเกินไปหรือไม่
- มีรายได้ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องหรือไม่
- สามารถสร้างกระแสเงินสด ให้กับธุรกิจได้หรือไม่
- วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ในการพลิกอนาคต
และปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย
ซึ่งจากเหตุผลเหล่านี้ แน่นอนว่า หุ้นที่เราเลือกนั้น ก็อาจไม่ได้มีหุ้นที่ประสบความสำเร็จไปเสียทุกตัว อาจเพราะด้วยเหตุปัจจัยอะไรหลาย ๆ อย่าง
และแม้ว่าพอร์ตของเรา จะมีหุ้นที่ทำผลตอบแทนได้ระดับ 20% ต่อปี แต่ปัจจัยสำคัญที่สร้างความสำเร็จให้กับนักลงทุน
และถือเป็นหัวใจของการลงทุนสไตล์เน้นคุณค่า หรือ VI
ก็คือ เรามีความอดทนมากพอ ที่จะถือหุ้นตัวนั้นยาวนานระดับ 10 ปี 20 ปี หรือ 30 ปีได้หรือเปล่า..

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon